วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2550

เรื่องสั้น - เมื่อรักของเรา ไม่เข้า(ใจ)กัน (บทที่สอง)

เสียงนั้นยังดังกึกก้องภายในหูของผม จิตใจที่แสนกระวนกระวายและรุ่มร้อน ตัวผมไม่สามารถทำให้มันสงบลงได้ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจทำบางอย่าง
“...ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน...”
เพลงดังขึ้นหลังจากที่ผมกดรีโมท ผมกระแทกตัวลงบนเตียง เฝ้านึกถึงวันเก่าๆ ที่ผมและเธอเคยอยู่ด้วยกันในห้องนี้ นี่เป็นเพลงโปรดของผม ทุกครั้งที่เพลงนี้ดังขึ้น ผมจะร้องคลอเพลงนี้ นั่งลงที่ข้างเธอ หอมแก้มเธอเบาๆ และกระซิบบอกกับเธอว่า
“เต้รักอุ๋ยมากนะ”
แต่ตอนนี้ อุ๋ยไม่อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
ผมรู้จักอุ๋ยครั้งแรกในวันรับน้องใหม่ เธอเป็นผู้หญิงจากเมืองหลวงเพียงคนเดียวที่เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ส่วนผมก็ไม่ใช่คนในพื้นที่นี้หรอก ผมมาจากจังหวัดอื่น สาเหตุที่ผมมาเรียนที่นี่เพราะผิดหวังจากความรัก และผมต้องการหนีห่างจากความเจ็บปวดนั้นให้ไกลที่สุด
ในครั้งแรกที่ผมเห็นอุ๋ย เธอช่างเหมือนนางในฝันของใครสักคนที่เดินหลุดออกมาจากจินตนาการของคนๆนั้น แล้วมีตัวตนอยู่จริง หรือไม่เธอคงจะเป็นเจ้าหญิงจากดินแดนที่แสนไกล พลัดพรากจากบ้านเมืองมา เธอนั่งอยู่ตรงนั้น ผมอยากจะรวบรวมความกล้าทั้งหมด แล้วเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ แต่ความกล้านั้นมันยังไม่พอ ที่จะพาร่างกายเข้าไปใกล้เธอแม้เพียงคืบเดียว
แต่ เธอมักจะนั่งเหมอทุกครั้งที่ผมเห็น
“น้องใหม่ฟังเรียกแถว แถวตอนเรียงสิบ ทั้งหมด จัดแถว!!”
เสียงตะโกนของรุ่นพี่ที่ใส่ชุดดำดังขึ้น ระหว่างที่จัดแถวนั้นผมเหลือบไปเห็นเธอเข้า เจ้าหญิงของผม เธอยืนอยู่ด้านซ้ายมือของผม ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว
แต่ว่าที่เธอมายืนอยู่ตรงนี้มันผิดกฎ ที่พวกรุ่นพี่ได้ตั้งไว้
‘ใครทำผิดกฎต้องโดนลงโทษ’
ผมนึกถึงคำพูดที่รุ่นพี่พูดไว้เมื่อวาน ผมต้องรีบเตือนเธอ ผมไม่อยากให้เจ้าหญิงของผมต้องถูกลงโทษ
“นี่เธอ เมื่อวานไม่ได้เข้าเหรอ”
‘นี่หรือคือคำเตือน’
ความคิดของผมโผล่พรวดขึ้นมาทันทีที่ผมพูดออกไป เธอหันหน้ามองที่ผม แล้วพยักหน้าตอบ เธอรับรู้ถึงการมีตัวตนของผมแล้ว และผมรวบรวมความกล้าขึ้นอีกครั้ง เพื่อจะพูดกับเธอ
“ตรงนี้รุ่นพี่ ให้เข้าแถวเฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้ - ”
“ ใครบอกให้พูดในแถว!!”
เสียงตะโกนขัดจังหวะการพูด จากรุ่นพี่ชุดดำคนหนึ่ง
“น้องใหม่ทั้งหมด วิดพื้นท่าเตรียม ปฏิบัติ!!! ”
พอสิ้นเสียง ผมและเพื่อนๆพร้อมใจกันปฎิบัติทันที
‘นั่น! เจ้าหญิงของผมกำลังจะทำตามที่รุ่นพี่สั่ง ผมทำให้เธอต้องลำบาก’
ในใจผมร้องตะโกนออกมา พร้อมกับวิงวอนต่อพระเจ้า อย่าให้เธอต้องถูกลงโทษ
“น้องผู้หญิง ไม่ต้องทำ ออกมานี่”
เสียงของรุ่นพี่พูดออกมา โอ้พระเจ้า ทรงฟังคำขอร้องจากลูกแกะตัวน้อย ตัวนี้
“ขอโทษนะที่ทำให้ลำบาก”
เธอพูดก่อนที่เธอจะลุกยืนขึ้น เสียงของเธอเปรียบเหมือนเสียงของนกการเวกตัวที่ร้องได้เพราะมากที่สุดในจักรวาลนี้
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง”
ผมยิ้มให้เธอด้วยความปิติที่สุด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักอุ๋ย
ผมและอุ๋ยเรียนอยู่ในคณะเดียวกัน เราเรียนอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในคณะนี้มีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงมากมายหลายเท่า ผู้หญิงจึงถูกตั้งเป็น ‘สมบัติคณะ’ รุ่นพี่ได้มีคำสั่งให้ผู้ชายดูแลสมบัติคณะ นี่ก็ถือเป็นโอกาสอันดีเยี่ยม ที่จะทำให้ผมได้ดูแลอุ๋ย และอุ๋ยจะได้มองเห็นผมอยู่ในสายตาของเธอบ้าง และเป็นอีกครั้งที่ผมเห็นอุ๋ยนั่งเหมอลอย เหมือนเธอปลดปล่อยวิญญาณของตัวเองออกจากร่างกายไป อุ๋ยเศร้าใจเรื่องอะไร ผมอยากช่วยเธอได้บ้าง
แม้ว่าหมดฤดูกาลรับน้องใหม่ไปแล้ว ผมยังคงดูแลเธอเหมือนเคย ผมอยากแบ่งเบาเอาความเศร้าหมองของอุ๋ยมาไว้กับผม ผมอยากเห็นอุ๋ยยิ้ม ผมหลงรักอุ๋ยแล้ว
“สงสัยคิดถึงแฟนว่ะ…”
นั่นเป็นคำพูดของพี่รหัสผม หลังจากที่ผมขอคำปรึกษา
“การที่จะให้ลืมรักเก่าได้ ต้องมีรักครั้งใหม่”
และนี่เป็นสิ่งเพื่อนผมแนะนำให้ผมทำ
ผมคอยดูแลอุ๋ยทุกอย่าง เท่าที่ผมจะทำได้ และในที่สุดผมก็
ไม่เห็นอุ๋ยนั่งเหม่อลอยอีก
หลังจากที่เราสองคนรู้จักกันไม่กี่เดือน ผมก็ได้ร่วมหลับนอนกับเธอ ทุกอย่างมันเร็วไปสำหรับเรา หรือนี่เป็นการแสดงออกทางความรักของหญิงสาวชาวกรุงที่มีความเจริญศิวิไล แม้ผมกับอุ๋ยจะนอนสบตากันหลังจากความพลุ้งพล่านทางอารมณ์รักของสองเราจบลง ผมมีความรู้สึกว่าอุ๋ยไม่ได้มองผมเลยอย่างไรก็ตามแต่ ผมรักอุ๋ยมาก
“อุ๋ย เต้รักอุ๋ยนะ”
มันเป็นคำพูดง่ายๆ แต่ใช้แทนความรู้สึกทั้งหมดของผมในตอนนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน เราสองคนก็ย้ายออกไปอยู่ด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต ที่ผมได้อยู่กับคนที่ผมรัก ได้ใช้ชีวิตกับคนที่ผมรัก ไม่ว่าตอนเรียน ทานข้าว แม้แต่เวลานอน เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
ผมให้คำมั่นสัญญากับอุ๋ยหลังจากที่เรียนจบ เราจะแต่งงานกัน เพราะผมไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่โดยไม่มีอุ๋ย
หนึ่งปีผ่านไป ถึงเวลาที่เราสองคนจะต้องเลือกสาขาวิชาของวิศวกร ผมเลือกสาขาวิศวกรรมโยธา ส่วนอุ๋ยเลือกสาขา
วิศวกรรมไฟฟ้า
‘แม้เราจะไม่ได้เรียนด้วยกัน แต่เราก็ยังอยู่ด้วยกันและรักกันเหมือนเดิม’
มันเป็นความคิดของผมในตอนนั้น
หลังจากการรับน้องใหม่ผ่านไป ถึงเวลาที่พวกรุ่นพี่อย่างผมและอุ๋ย ต้องตามหาน้องรหัสน้องรหัสของผมเป็นผู้หญิง ส่วนน้องรหัสของอุ๋ยเป็นผู้ชาย
เริ่มเรียนไปไม่นาน เราสองคนมีเวลาให้กันน้อยลง เราเริ่มมีปากเสียงกันบ้าง คงเพราะผมเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้หึง และกลัวว่าอุ๋ยจะมีใครคนอื่น
“ไอ้เต้! กูได้ยินข่าวว่าแฟนเก่าอุ๋ยเข้ามาเรียนใหม่ที่คณะเราว่ะ”
มันเป็นข่าวที่เลวร้ายมากสำหรับผม อย่างไรก็ตามผมยังเชื่อมั่นในความรักของผมที่มีให้กับอุ๋ย เธอคงไม่ทิ้งผมไป แต่ผมยังกังวลอยู่ลึกๆ ภายในจิตใจ เพราะคำบอกเล่ามันมาจากปากของเพื่อนที่ผมไว้วางใจ มันทำให้ความรักของเราเริ่มมีรอยร้าว และยาที่จะสมานรอยร้าวนั้นได้ก็คือ ความจริงจากปากของอุ๋ย
ผมรีบบึ่งมอเตอร์ไซด์ออกมาจากตึกเรียนอย่างรวดเร็ว
พอถึงหน้ามหาวิทยาลัย มีผู้หญิงคนหนึ่งโบกมือเรียกผมให้หยุดรถ
“เต้ ดาววานอะไรหน่อยสิ”
ดาวเพื่อนต่างคณะของผม เธอพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอน
“มีอะไรให้ช่วยล่ะ”
ผมตอบออกไปอย่างห้วนๆ
“แฟนดาวเอาปืนไปยิงเขา แล้วเขาจำหน้าแฟนดาวได้ ดาวฝากปืนไว้กับเต้ได้มั้ย ดาวกลัวตำรวจจะมาจับแฟนดาว”
“ได้สิ”
หลังคำตอบนั้นหลุดออกจากปากผมไป ดาวกระโดดสวมกอดผมเหมือนเด็กดีใจที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่จากพ่อ แม่
“เฮ้ย!!!”
ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับแกะมือของดาวออกจากตัวผม
“แล้วอยู่ไหนล่ะ”
“อยู่ห้องดาว เดี๋ยวดาวจะพาไป”
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดเย็นยะเยือก แต่จิตใจของผมกลับทำให้ผมรู้สึกว่า ในขณะนี้ผมกำลังขับรถผ่านทะเลทรายอันร้อนระอุ
หลังจากที่แฟนของดาว ฝากปืนไว้กับผมแล้วก็บอก
ขอบคุณผมเป็นเวลานานมาก จนกระทั่งฝนเริ่มโปรยปราย
การขับรถผ่านสายฝนครั้งนี้กลับทำให้ใจผมผ่อนคลายลง อาจเป็นเพราะผมได้ช่วยเหลือเพื่อนที่กำลังลำบากอยู่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ผมยังมีความหวังว่า รอยร้าวในใจผมคงจะได้ยาขนานดีสมานแผลให้หายขาด
แต่รอยร้าวนั่นกลับร้าวเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยเท่า ภาพที่ผมเห็น อุ๋ยเดินขึ้นรถไปกับผู้ชาย นี่หรือคือคำตอบที่ผมได้รับจากอุ๋ย
‘ไอ้เต้! กูได้ยินข่าวว่าแฟนเก่าอุ๋ยเข้ามาเรียนใหม่ที่คณะเราว่ะ’
คำพูดที่เพื่อนผมได้บอกไว้ มันดังกึกก้องเหมือนมีคนนับพันตะโกนขึ้นพร้อมกันในใจของผม สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ผมจอดรถท่ามกลางสายฝน เงยหน้าขึ้นมองฟ้า เผื่อสายฝนที่โปรยปรายลงมาจะล้างภาพติดตาที่ผมเห็นนั้นออกไปให้หมด
นานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่ผมยืนตากน้ำตาจากท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น และในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ ผมรักอุ๋ย ถ้าผมเชื่อในความรัก ผมต้องมั่นใจในความซื่อสัตย์ของอุ๋ย
ถึงหอแล้ว ผมเริ่มมีความกลัวที่จะเดินไปที่ห้อง ทุกย่าง
ก้าวเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ เมื่อถึงหน้าห้องสิ่งที่วางอยู่หน้า
ประตูห้อง มันทำให้รอยร้าวในใจของผมแตกละเอียดในทันที ผมค่อยๆ ไขกุญแจห้องเข้าไปภายในห้อง ภาพที่ผมเห็นคือ ด้านหลังร่างกายอันเปล่าเปลือยของเจ้าหญิงอันเป็นรัก เสื้อผ้าทุกชิ้นของเธอกองอยู่ข้างเตียง ที่นอนยับยุ่ย รอยร้าวในใจที่แตกละเอียดนั้นกลับกลายเป็นฝุ่นผงและลอยไปตามลม ตัวของผมสั่นอย่างบ้าคลั่ง นัยย์ตาทั้งสองข้างร้อนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามบ่ายในทะเลทราย
มือขวาของผมล้วงเข้าไปในกระเป๋า คว้านหาของบางอย่าง
นี่หรือความดีที่ผมได้รับมาจากการช่วยเหลือเพื่อน แต่ผลลัพธ์กลับเป็นกล่องเสื้อกันฝนของผู้ชาย ทิ้งไว้ที่หน้าห้อง
“หนาวๆ อย่างนี้ ดื่มกาแฟสิ จะได้หายหนาว”
อุ๋ยยื่นถ้วยกาแฟให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มเสแสร้งของเจ้าหญิง ที่บัดนี้ได้กลายเป็นโสเภณีข้างถนน
มือซ้ายของผมรับกาแฟถ้วยนั้น ผมจิบกาแฟพร้อมกับมือขวาคว้าเอาสิ่งที่จะทำให้อุ๋ยกลับมาเป็นเจ้าหญิงที่ผมรักคนเดิม

ปัง!!!

“...ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน...”

ผมไม่ได้ร้องเพลงนี้ให้อุ๋ยฟังและอุ๋ยไม่ได้นั่งตรงที่เดิมอีกแล้ว ถึงอุ๋ยจะนอนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำสีแดง แต่อุ๋ยจะเป็นเจ้าหญิงของผมตลอดไป ตราบที่ผมยังอยู่ในห้องนี้...

ไม่มีความคิดเห็น: