วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

บทวิจารณ์ - วิจารณ์วรรณกรรมเรื่อง “ทางช้างเผือก (มานะ มานี ปิติ ชูใจ)”

เรื่องทางช้างเผือก (มานะ มานี ปิติ ชูใจ) เป็นผลงานของ อาจารย์ รัชนี ศรีไพรวรรณ ผู้ที่นำตัวละครมานะ มานี ปิติ ชูใจ และพองเพื่อน โลดแล่นในหนังสือแบบเรียนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ของกระทรวงศึกษาธิการในอดีต และอยู่ในความทรงจำของผู้ที่เคยเรียน
พวกเขาเติบโตขึ้นตามวัยทุกปีพร้อม ๆ กับเรา เรื่องราวสนุกสนานที่ได้อ่าน กลายเป็นความทรงจำอันแสนประทับใจที่ยากจะลืมเลือน หลายสิบปีผ่านไป อยากรู้ไหมว่า เพื่อนเก่าของพวกเราเติบโตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง มานะ มานี ยังคงน่ารัก มองโลกในแง่ดี หรือจะกลายเป็นหนุ่มสาวยุคใหม่ผู้แคล่วคล่อง เจ้าโต และสีเทา จะยังมีชีวิตอยู่หรือจากลาพวกเราไปแล้วตามกาลเวลา
เพื่อให้เรื่องราวเข้ากับยุคสมัย อาจารย์ รัชนี ศรีไพรวรรณ จึงได้เพิ่มเติมเหตุการณ์ปัจจุบันและตัวละครใหม่ๆเข้าไปในเรื่อง ในวันนี้ความทรงจำดีๆที่มีต่อเพื่อนเก่าอย่างมานะ มานี ปิติ ชูใจ และพองเพื่อน กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้อง พวกเขาเดินทางกลับมาเยี่ยมเยียนและบอกสารทุกข์สุขดิบให้เพื่อนเก่าอย่างพวกเราได้หายสงสัยและหายคิดถึงกันเสียที ได้กลายเป็นหนังสือเรื่องทางช้างเผือก (มานะ มานี ปิติ ชูใจ)
ทางช้างเผือกเริ่มเรื่องด้วยการแนะนำตัวละครที่สำคัญแต่ละตัว โดยมี มานี ชูใจ และปิติ พูดคุยกัน พร้อมๆกับเล่าเรื่องของตัวละครอื่นๆไปด้วย เป็นการปูพื้นของเรื่องว่ามีใครบ้าง และมีความสำคัญอย่างไร สามารถทำให้ผู้อ่านเชื่อมโยงความสัมพันธ์ขอตัวละครได้อย่างไม่สับสน
ผู้เขียนดำเนินเรื่องเรียบเรียงเหตุการณ์ตามปฏิทิน คือ เริ่มตั้งแต่มานี เริ่มรู้จักกับชูใจ ปิติ และเพื่อนคนอื่นๆ ตามลำดับ ตัวละครพบข้อขัดแย้งและเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาต่างๆ แต่ในที่สุดก็สามารถคลี่คลายปัญหาได้ในตอนจบ
ความน่าสนใจของเรื่องอยู่ที่การนำเหตุการณ์ในปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเรื่องได้อย่างลงตัว ถึงแม้ว่า เรื่องมานี มานะ จะเคยเป็นแบบเรียนภาษาไทยในอดีตทำให้ผู้อ่านนึกถึงบรรยากาศเก่าแบบชนบท แต่ผู้เขียนก็ผสมผสานรูปแบบเก่าๆของเรื่องให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ สะท้อนถึงภาพสังคมในปัจจุบันอย่างชัดเจน เช่น ชูใจเล่าเรื่องพี่สุมนให้มานีฟังว่า พี่สุมนไปเล่นเกมในรายการเกมเศรษฐี ปิติไปซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนให้เพชรในห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ เอ็มเป็นลูกคนเศรษฐี ใช้โทรศัพท์มือถือ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง แต่มีนิสัยชอบขโมยของ เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วผู้เขียนได้เพิ่มสีสันของเรื่องด้วยการนำสิ่งเร้นลับ ความเชื่อ เสริมไว้ในเรื่องด้วย สังเกตได้ว่าตัวละครจะมีความเชื่อ เคารพกับสิ่งเร้นลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ว่าจะเป็นยุคของเทคโนโลยี และความเจริญทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม ผู้อ่านได้สร้างจินตนาการไปกับเรื่องราวอัศจรรย์อภินิหารต่างๆไปพร้อมกับตัวละครในเรื่องได้ เช่น ในตอนที่มานีและเพื่อนๆได้พบกับหญิงชรา
ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นมากมาย พวกเขาได้เห็นรุ้งลงมากินน้ำ บ่อดินสีต่างๆสวยงามดังสีรุ้ง เพชรนำดินมาปั้นเป็นพระพุทธรูปได้อย่างสวยงาม แต่ผลการพิสูจน์เนื้อดินไม่ปรากฏว่าเป็นดินชนิดใดเลยบนโลกนี้ เป็นต้น
ตอนที่กระตุ้นอารมณ์ของผู้อ่านหรือที่เรียกว่าจุดวิกฤต หรือจุดสุดยอดของเรื่อง เป็นเหตุการณ์ตอนที่วีระพยายามจะเข้าสำรวจบริเวณบ้านของเจ้าของเนคต้าวิลล์ แต่ถูกคนร้ายจับตัวได้และพาไปไว้ในอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งเป็นโรงงานผลิตธนบัตรปลอม คนร้ายปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับวีระ จะฆ่าทิ้งดีไหม วีระทั้งตกใจและกลัวมาก แต่ในที่สุดเหตุการณ์ก็คลี่คลายลง ตำรวจบุกเข้ามาช่วยวีระได้สำเร็จ เจ้าของเนคต้าวิลล์ก็ถูกจับตัวไปดำเนินคดี เรื่องทั้งหมดสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือของวีระและเอ็มที่คอยเป็นสายสืบให้กับตำรวจนั่นเอง
ผู้เขียนจบเรื่องแบบมีความสุข มานีและชูใจกลับมาพบกันอีกครั้ง เนื่องจากต้องไปร่วมงานแต่งงานของปิติเพื่อนรักในวัยเด็ก พวกเขาได้พบปะพูดคุยถึงสารทุกข์สุขดิบของกันและกัน ดูเหมือนว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จในชีวิต ยกเว้นวีระที่มีภรรยาไม่ดี กลายเป็นคนขี้เมา เสียสติไป เรื่องราวของทั้งหมดของพวกเขาได้สร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านไม่ว่าจะหยิบขึ้นมาอ่านเมื่อใดก็ทำให้หวนรำลึกถึงความหลังเมื่อยังเป็นเด็กได้ดี
แก่นเรื่อง (Theme) ของเรื่องทางช้างเผือก ของอาจารย์ รัชนี ศรีไพรวรรณ มีลักษณะเป็นหลักการใช้ชีวิต คือ การกระทำและพฤติกรรมสามารถส่งผลถึงอนาคตได้ จะเห็นได้ว่าตัวละครเอกจะมีนิสัยดี ขยัน ตั้งใจเรียน รักเพื่อน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน เป็นการสอนผู้อ่านทางอ้อมผ่านเรื่องราวของตัวละครว่าสิ่งใดควรและไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง จากตอนที่ปิติได้พบกับเอ็ม ขณะที่เอ็มกำลังขโมยท็อฟฟี่ใส่ปาก เอ็มชักชวนให้ปิติทำตาม เมื่อมานีและชูใจรู้ความจริงก็ต่อว่าและเตือนให้ปิติเลิกคบกับเอ็ม เพราะการขโมยของเป็นสิ่งไม่ดี อาจติดเป็นนิสัยได้
มุมมอง (point of view) หรือ กลวิธีในการเล่าเรื่องของเรื่องนี้ ผู้เขียนใช้วิธีเล่าในลักษณะผู้เล่าเรื่องไม่ปรากฏในฐานะตัวละครในเรื่อง (Narator a non-ticipant) คือ ผู้เล่าเรื่องจะไม่ปรากฏตัวในเรื่อง แต่เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจะถูกเสนอผ่านการกระทำ คำพูด และทรรศนะของตัวละครที่ถูกเอ่ยถึง โดยผู้ล่าเป็นผู้รู้แจ้ง ล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ ความคิด จิตใจ ของตัวละคร เช่น
ทุกคนนิ่งเงียบ นึกทบทวนถึงคำพูดของหญิงชราที่พูดกับตนราวกับเป็นคำทำนาย จันทรคิดด้วยหัวใจอิ่มเอมเป็นสุข เทวดาองค์ไหนหนอจะมาบันดาลให้ขาเธอหายพิการชูใจงุนงงสงสัยยิ่งนักใครที่อยู่ในหัวใจของเธอ และอีกสามปีจะได้พบเขาผู้นั้นแม่และพ่อของเธอก็ตายไปแล้ว พี่สุมนก็ไม่ใช่คนที่เธอจะคิดถึงใจจดใจจ่อสักเท่าไร ยิ่งคิดชูใจก็ยิ่งกลุ้ม
งานเขียนเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยความต้องการของนักเรียนในอดีต ที่มีความคิดถึงให้เพื่อนๆที่เติบโตมาด้วยกัน ทำให้อาจารย์ รัชนี ศรีไพรวรรณ ต้องนำเรื่องราวของ มานะ มานี ปิติ ชูใจ ฯลฯ มาเล่าต่ออีกครั้ง
เรื่องราวต่างๆ ที่ถูกเขียนขึ้นในหนังสือเล่มนี้เป็นการเขียนในแบบการเล่าเรื่องราวที่มีความเรียบง่าย ผู้อ่านสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ในงานเขียนได้ แม้แต่ผู้ที่ไม่เคยรู้จักกับ มานะ มานี ปิติ ชูใจ ฯลฯ มาก่อน ก็สามารถเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ เป็นหนังสือที่สามารถอ่านได้ทุกเพศทุกวัยและน่าสะสม ไม่แน่...ในอีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้าเราอาจแนะนำเพื่อนเก่าของเรา มานะ มานี ปิติ ชูใจ ฯลฯ ให้รู้จักกับลูกหลานของเราก่อนที่พวกเขาจะเข้านอนก็เป็นได้

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2550

บทวิเคราะห์ - การอ่านวรรณกรรมเชิงวิเคราะห์ วรรณกรรมบันเทิง

เรื่องย่อ
เรื่องมีอยู่ว่า แก้วเฮือน ได้ออกเดินทางตามพ่อทุนนะ และอามังคละแกะรอยไอ้ถ่าง เสือร้ายที่เข้ามาก่อกวนหมู่บ้านจนได้พบกับ เขี้ยวเสือไฟ พ่อแนะนำเธอเก็บไว้เป็นของวิเศษ
แต่หลังจากที่แก้วเฮือนได้เขี้ยวเสือไฟมา พ่อเธอก็เจ็บขา จนไม่สามารถเข้าป่าล่าสัตว์ได้ แม่ก็เริ่มเจ็บไข้เป็นระยะ และแม่ก็ยังโทษเธอว่าที่ครอบครัวเริ่มลำบาก เป็นเพราะเขี้ยวเสือไฟ
เขี้ยวเสือไฟ เป็นที่ต้องการของพ่อเลี้ยง เพื่อที่จะนำมาเป็นของขลังให้สมศักดิ์ลูกชาย โดยแลกเปลี่ยนกับการรักษาขาของทุนนะและหนี้สินที่บัวจันติดค้างไว้
หลังจากมังคละกลับมาจากป่า ก็เฝ้าสั่งสอนแก้วเฮือน ให้มีหัวใจเสือไฟและคำคง ให้มีกำลังเสือไฟ ในตัวเองโดยที่ไม่ต้องเพิ่งพาแต่เขี้ยวเสือไฟเพียงอย่างเดียว
อยู่มาวันหนึ่งสมศักดิ์ชกต่อยกับคำคง หางตั้งหมาของคำคงจึงกัดสมศักดิ์ พ่อเลี้ยงบอก
ทุนนะให้ตัดหัวไอ้หางตั้งเพื่อนำเอาไปตรวจว่าเป็นหมาบ้าหรือเปล่า คำคงจึงพาหางดาบหนีไปหามังคละอาของตน และชวนแก้วเฮือนไปด้วย ในขณะเดียวกันนั้นมังคละก็กำลังเดินทางมาหาทุนนะเพื่อบอก เรื่องไอ้ถ่าง กำลังหนีมาทางนี้
ระหว่างทางที่แก้วเฮือนและคำคงกำลังพาไอ้หางตั้งไปหามังคละนั้น ได้เจอกับไอ้ถ่างพอดีทั้งสองคนจึงหนี ขณะเดียวกันนั้น ทุนนะและมังคละก็รีบตามหาเด็กทั้งสองคนด้วยความเป็นห่วง
คำคงและแก้วเฮือนหนีขึ้นต้นไม้ ไอ้ถ่างไล่ตามตามมา หางตั้งสู้กับไอ้ถ่างเพื่อปกป้องเจ้านายทั้งสองคนจนไส้ทะลักก็ไม่ยอมถอย จนกระทั่งถูกไอ้ถ่างกัดหัวตาย แก้วเฮือนจึงใช้ลูกดอกนาคา ลูกดอกพิษที่มังคละเคยให้คำคงเก็บไว้ยิงใส่ไอ้ถ่างตาย ในที่สุดทุนนะและมังคละก็ตามมาทัน
แก้วเฮือนมั่นใจว่าที่ตนและคำคงรอดมาได้เป็นเพราะเขี้ยวเสือไฟ แต่เขี้ยวเสือไฟนั้นหลุดจากคอของแก้วเฮือนไปแล้วและมังคละตามเก็บมาคืนให้
สุดท้ายแก้วเฮือนก็เข้าใจว่าหัวใจเสือไฟคือสิ่งใด คำคงก็เข้าใจว่ากำลังเสือไฟเป็นอย่างไร และก็ยอมให้แม่เอา เขี้ยวเสือไฟไปปลดหนี้กับพ่อเลี้ยง ทุนนะก็หายเจ็บขา บัวจันก็หายจากการเจ็บออดแอด ครอบครัวก็เริ่มดีขึ้น
แก้วเฮือนก็เริ่มสนใจทำงานบ้านแต่ไม่ละทิ้งความต้องการเป็นพราน ส่วนคำคงก็เริ่มกล้าหาญขึ้น และจะไปสอบชิงทุนเรียนต่อเพื่อเป็นครูอย่างที่ตนฝัน

โครงเรื่อง
ของขลัง ความเชื่อ มีบทบาทสำคัญต่อความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้าน แก้วเฮือนเด็กหญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยสาว บัวจันผู้เป็นแม่เกรงว่าของขลังอย่างเขี้ยวเสือไฟ จะทำให้ครอบครัวของตนเองพบกับความโชคร้าย

แก่นเรื่อง
1. ผู้แต่งได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเครื่องรางของขลังและผู้คนที่มีความเชื่อ ว่าแก่นแท้ของความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวของเครื่องราง แต่อยู่ที่ตัวและหัวใจของมนุษย์นั่นเอง ยกตัวอย่างในตอนท้ายเรื่อง หลังจากที่แก้วเฮือนได้นำเขี้ยวเสือไฟไปมอบให้พ่อเลี้ยงคำแหลงเพื่อปลดหนี้ที่นาของครอบครัวตนเอง และพ่อเลี้ยงได้มอบเขี้ยวเสือไฟต่อให้สมศักดิ์บุตรชายของตน อยู่มาวันหนึ่งคำคงและสมศักดิ์ได้นัดต่อยกันโดยตัวสมศักดิ์มีความมั่นใจว่าตนเองจะชนะเพราะตนมีเขี้ยวเสือไฟและคำคงไม่เคยชกต่อยชนะตนเองเลย แต่ผลกลับเป็นเป็นคำคงที่ชนะเพราะคำคงได้รับการสั่งสอนจากมังคละผู้เป็นอาให้มีกำลังเป็นดั่งเสือไฟโดยไม่ต้องพึ่งเขี้ยวเสือไฟ
2. วัฒนธรรมของชาวบ้านที่แสดงให้เห็นถึงการบังคับและการป้องกันการเบี่ยงเบนทางเพศ โดย ชายต้องแสดงออกถึงความเป็นชาย หญิงต้องแสดงออกให้เห็นถึงความเป็นหญิง โดยการหยิบยกเอาเครื่องรางของขลังอย่างเขี้ยวเสือไฟมาเป็นมาสาเหตุของการเบี่ยงเบน ยกตัวอย่างในตอนที่
แก้วเฮือนได้เขี้ยวเสือไฟเป็นเครื่องรางติดตัว บัวจันผู้เป็นแม่ มองว่าลูกสาวของตนทำตัวผิดเพศหลังจากได้เขี้ยวเสือไฟห้อยคอไม่ยอมทำงานบ้าน ชอบออกป่าล่าอาหาร กล้าหาญเกินหญิง ซึ่งตัวของแก้วเฮือนไม่ได้เปลี่ยนเพราะเขี้ยวเสือไฟ แต่แก้วเฮือนมีความต้องการที่จะดูแลครอบครัวของตน เพราะ ทุนนะผู้เป็นพ่อขาเจ็บ แม่ก็เจ็บป่วยออดแอด คำแก้วพี่สาวก็ขาลีบข้างหนึ่ง คำคงน้องชายคนเล็ก ก็ยังเป็นเด็กและไม่ชอบที่จะทำงานช่วยครอบครัว ทำให้บัวจันคอยดุด่าลูกสาวของตนเองอยู่เสมอทำให้แก้วเฮือนไม่พอใจ
ในตอนท้ายของเรื่องแก้วเฮือนก็ไม่ได้มีจิตใจที่จะผิดเพศแต่อย่างใด แต่ที่แก้วเฮือนอยากเป็นพราน เพราะคำคงน้องชายก็อยากเรียนต่อเพื่อเป็นครู พี่สาวก็คอยทำงานบ้านช่วยแม่อยู่แล้ว ตนเองจะได้ช่วยพ่อออกป่าหาอาหาร และสืบทอดสายเลือดความเป็นพรานของครอบครัวตนเองอีกด้วย

ตัวละครที่สำคัญ
แก้วเฮือน สาวน้อยที่เป็นตัวเอกของเรื่อง นิสัยมีความกล้าหาญเกินหญิง มีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้แก่สิ่งรอบข้าง และเป็นตัวละครที่มีเครื่องรางเขี้ยวเสือไฟ มีความต้องการที่จะเป็นพรานเพื่อสืบทอดต่อจากพ่อและบรรพบุรุษ
คำคง น้องชายของแก้วเฮือน ในตอนต้นเรื่องมีนิสัยขี้ขลาด มักหาข้ออ้างแก้ตัวในเรื่องที่ตนเองทำไม่ได้ ตอนท้ายเรื่องเริ่มมีความกล้าหาญ มีความฝันอยากเป็นครู
มังคละ อาของแก้วเฮือนและคำคง เป็นพรานสมัยใหม่ที่เห็นโลกภายนอก มักใช้ความรู้ตัดสินเหตุการณ์ แต่ไม่ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชอบออกผจญป่า ในเรื่องเป็นคนที่สอนเรื่อง กำลังเสือไฟให้แก่คำคง และหัวใจเสือไฟให้แก้วเฮือน เป็นผู้ที่เข้าใจแก่นแท้ ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องรางนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวของเครื่องราง แต่อยู่ที่จิตใจคนใช้มากกว่า
ทุนนะ พ่อของแก้วเฮือนและคำคง เป็นพรานป่าที่ยึดมั่นในความเชื่อ และความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องราง มีความรอบรู้เรื่องต่างๆ และมักใช้ภูมิปัญญาแบบพรานโบราณตัดสินเหตุการณ์
บัวจัน แม่ของแก้วเฮือนและคำคง เป็นตัวละครที่ผู้แต่งแสดงให้เห็นว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องรางในเรื่องมีจริง

เรื่องสั้น - แหวนหนึ่งวงในร้านกาแฟ

เรื่องของภาวิดา

ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนทุกครั้งที่ฉันเดินผ่าน แต่ตอนนี้กลับเงียบเหงา มีคนนั่งอยู่เพียงโต๊ะเดียวเท่านั้น ก็ดีเพราะฉันอยากหาร้านเงียบๆนั่ง ฉันจึงเดินเข้าไปในร้าน เลือกมุมสงบนั่งในการอ่านหนังสือสักเล่มเพื่อปลดปล่อยความคิด
หลังจากฉันเลือกที่นั่งได้แล้ว ฉันเหลือบเห็นชายคนหนึ่งนั่งที่โต๊ะห่างจากฉันไปไม่กี่เมตร มองดูผู้คนเดินผ่านไปมานอกร้านด้วยสายตาเหมอลอย บนโต๊ะที่เขานั่งมีถ้วยกาแฟส่งไอร้อนกรุ่น และกล่องใส่แหวนสีแดงเข้มที่เปิดค้างไว้ แสงแดดส่องกระทบแหวนวงนั้นเป็นประกาย ทำให้ฉันรู้ทันทีว่าแหวนวงนั้นเป็นแหวนทอง
“สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ” เสียงนุ่มนวลจากพนักงานหนุ่มหน้าตาดี ทำให้ฉันละสายตาจากของสิ่งนั้นทันที
“อืม..ขอเอกซ์เปรสโซ่ ไม่ใส่น้ำตาลถ้วยนึงค่ะ” ฉันตอบ
“น้อง เช็คบิลด้วย” เสียงทุ้มกังวานจากชายเจ้าของแหวน
“รอสักครู่นะครับ คุณผู้หญิง” หลังจากที่พนักงานพูดจบ เขาก็เดินไปที่โต๊ะนั้นทันที และฉันจึงหยิบหนังสือเล่มโปรดจากกระเป๋าถือของฉันขึ้นมาอ่าน
หลังจากที่ฉันใช้สมาธิในการอ่านหนังสือประมาณสองหน้า พนักงานเข้ามาเสิร์ฟกาแฟที่ฉันสั่ง ทำให้ฉันละสายตาจากหนังสือ และหลังจากที่พนักงานเดินจากไป ฉันเหลือบเห็นกล่องแหวนยังวางอยู่ที่โต๊ะในสภาพเดิม แต่ชายที่นั่งอยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว ฉันเหลียวมองซ้าย ขวา และมองออกไปนอกร้านพยายามมองหาเขา แต่เขาหายไปแล้ว
ด้วยความหวังดี ฉันวางหนังสือเล่มโปรดลงบนโต๊ะ แล้วเดินไปที่โต๊ะตัวที่ชายเสียงทุ้มกังวานเคยนั่ง แล้วหยิบกล่องใส่แหวนนั่นเพื่อนำไปฝากไว้กับพนักงานร้าน เผื่อชายคนนั้นกลับมาเอาแหวนคืน แต่หลังจากที่มองแหวนนั่น ฉันคิดว่ามันคงมีราคา เพราะลวดลายบนแหวนมันช่างสวยงามเหลือเกิน และฉันอยากเป็นเจ้าของมัน
ฉันเดินกลับมาที่โต๊ะของฉัน หลังจากใช้ความคิดสักครู่หนึ่ง ฉันมองหาพนักงาน แต่ไม่พบ ฉันมองไปรอบๆ ปรากฏว่า มีเพียงฉันคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในร้าน และด้วยความต้องการที่จะเป็นเจ้าของแหวนวงนี้ ฉันจึงปิดฝากล่องแหวนแล้วใส่มันลงในกระเป๋าถือของฉัน
ฉันหยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาอีกครั้ง เปิดหน้าเดิมที่อ่านค้างเอาไว้ด้วยความดีใจ
วันนี้ฉันได้แหวนทองหนึ่งวง เป็นของแถมจากกาแฟหนึ่งถ้วย

เรื่องของพิชิตชัย

ระหว่างการเดินทาง ผมเลือกร้านกาแฟแห่งหนึ่งเพื่อนั่งพักสงบจิตใจและฆ่าเวลา วันนี้ผมมีนัดเสนอแบบและลวดลายแหวนทองกับเจ้าของบริษัทขายเครื่องประดับรายใหญ่แห่งหนึ่ง ผมตื่นเต้นมาก แต่ผมกลัวจะประหม่าตอนนำเสนองาน ผมคิดว่าการนั่งพักจิบกาแฟสักถ้วย คงจะดีไม่น้อย
ผมเลือกที่นั่งได้แล้ว ผมเลือกที่จะหันหลังให้ประตูทางเข้าเพื่อทำสมาธิ ผมเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งกาแฟร้อนๆหนึ่งถ้วย พอพนักงานนำกาแฟมาเสิร์ฟ ผมต้องการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง จึงชวนพนักงานคุยอย่างเป็นกันเอง
“ร้านนี้ เงียบอย่างนี้ทุกวันหรือเปล่า” ผมถาม
“ก็เงียบเฉพาะตอนสายครับ จากเที่ยงจนถึงเย็น คนเข้าร้านแทบจะตลอดครับ” พนักงานหนุ่มน้อยตอบเสียงด้วยนุ่มนวลและท่าทางสำรวม
ผมจึงหยิบกล่องแหวนสีแดงจากกระเป๋าเสื้อนอก เปิดมันออก เพื่อแสดงแหวนทองที่ผมออกแบบให้หนุ่มน้อยดู พร้อมถามเพื่อขอความเห็น
“น้องคิดว่ามันสวยหรือเปล่า”
“สวยครับ พี่ซื้อให้แฟนหรือครับ” หนุ่มน้อยตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
“อ๋อ เปล่าหรอก นี่เป็นแหวนทองตัวอย่างที่พี่ออกแบบเอง อยากขอความคิดเห็นจากน้องเท่านั้นเอง” ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“สวยครับ แล้วทำจากทองจริงหรือเปล่าครับ” หนุ่มน้อยถามด้วยความสนใจ
“ไม่หรอก แค่แต่งสีให้มันเหมือนของจริงเท่านั้นเอง พี่จะนำไปเสนอลูกค้า” ผมตอบ
เราสองคนพูดคุยกันได้สักพัก หนุ่มน้อยก็ขอตัวไปทำงานต่อ ครู่ใหญ่ต่อมาผมได้ยินเสียงคนเข้ามาในร้าน ผมไม่สนใจ ผมนั่งมองออกไปนอกร้านดูผู้คนและทำใจให้สงบ หนุ่มน้อยเดินออกมาต้อนรับลูกค้า ผมมองดูนาฬิกา ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว ผมจึงเรียกหนุ่มน้อยเก็บเงินค่ากาแฟแล้วรีบลุกจากโต๊ะไป
ไม่ไกลนักจากร้านกาแฟ เป็นสถานที่นัดของผมกับเจ้าของบริษัทขายเครื่องประดับ ผมมองดูนาฬิกาผมมาถึงก่อนเวลานัดประมาณสิบนาที ผมล้วงกระเป๋าเสื้อนอก หายไปแล้วกล่องที่ใส่แหวนผลงานของผมหายไป ผมนึกได้ว่าผมลืมทิ้งไว้ที่ร้านกาแฟ ผมหันหลังกลับแล้วรีบวิ่งไป
ดีที่ผมมาถึงก่อนเวลานัดจึงมีเวลาพอที่จะกลับไปที่ร้านกาแฟอีกรอบ

เรื่องของต้น

ในตอนสายของวันเสาร์ ต้นมีนัดกับคนรักของเขา เพื่อจะไปดูหนังด้วยกัน เขาเลือกที่จะไปก่อนเวลานัด โดยเขาคิดว่าอย่างน้อยก็เป็นกระทำที่สมควรของผู้มีการศึกษาพึงมี ระหว่างที่เขากำลังเดินทางไปรับคนรักของเขานั้น เขาหยุดมองดูร้านกาแฟที่ตั้งอยู่หัวมุมถนนแห่งหนึ่ง ต้นใฝ่ฝันว่าหลังจากที่เรียนจบแล้ว เขาอยากมีร้านกาแฟบรรยากาศดีๆ เป็นของตัวเองสักแห่ง และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับคนที่เขารัก
ต้นยืนมองดูบรรยากาศภายในร้านด้วยตั้งใจ เขามองเห็นโต๊ะที่จัดอย่างเรียบร้อย กระจกที่ใสสะอาด และการตกแต่งร้าน มันช่างเย้ายวนลูกค้าเพื่อที่เข้ามาใช้บริการ พนักงานที่ดูเป็นกันเอง เขาสังเกตเห็นจากการพูดคุยระหว่างพนักงานที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาและลูกค้าคนหนึ่งที่หยิบกล่องแหวนออกจากกระเป๋าเสื้อนอกและโชว์แหวนให้พนักงานคนนั้นดู แล้วต้นก็เข้าสู่ภวังค์ของตัวเขาเอง และวาดภาพร้านกาแฟของเขาเองในจินตนาการ
ไม่นานนักต้นก็เห็นผู้หญิงวัยทำงานคนหนึ่งสะพายกระเป๋าถือเดินเข้าไปในร้านผู้หญิงคนนั้นสั่งกาแฟแล้วนั่งอ่านหนังสือ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของมือถือต้นดังขึ้น เขาละสายตาจากร้านกาแฟมาสนใจโทรศัพท์ของตัวเอง
หลังจากที่เขาใช้เวลาในการคุยโทรศัพท์พอสมควร เขาดูนาฬิกา เขาคิดว่าคงสมควรแก่เวลาที่เขาจะไปพบคนรักของเขาแล้ว ก่อนที่เขาจะไป เขามองกลับไปที่ร้านกาแฟอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นว่าสายตาของผู้หญิงวัยทำงานคนนั้นไม่ได้อยู่ที่หนังสืออีกแล้ว ตอนนี้สายตาของเธอจ้องกล่องแหวนสีแดงที่เปิดค้างทิ้งไว้ เธอเหลียวมองรอบๆตัวลุกขึ้นเดินมาหยิบกล่องแหวนแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เธอมองรอบๆ อีกครั้งก่อนที่จะนำกล่องแหวนใส่ลงไปในกระเป๋าถือของเธอเองพร้อมกับรอยยิ้ม
ต้นเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ทั้งหมด เขาคิดที่จะเข้าไปทักท้วงการกระทำของเธอครั้งนี้ แต่เขาก็คิดว่าแหวนนั่นไม่ใช่ของเขาและการที่เขาจะเข้าไปกล่าวหาเธอนั้นมันจะดูไม่เหมาะสม
ขณะที่ต้นกำลังจะตัดสินใจว่าจะทำยังไงดีนั้น เขาก็เห็นชายที่เคยโชว์แหวนให้พนักงานดู วิ่งอย่างกระหืดกระหอบกลับมา เขาคิดว่าชายคนนี้คงกลับมาเอาแหวนคืน ในที่สุดต้นก็ตัดสินใจ
หลังจากชายคนนั้นเข้าไปในร้านกาแฟ ต้นก็ก้าวตามเข้าไปอย่างเชื่อมั่น เพื่อทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้อง

บทความ - เสี้ยวชีวิตหนึ่งในอดีต ของเด็กชายใกล้หน้าต่าง

"โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง" เป็นเรื่องราวในวัยเยาว์ช่วงเรียนประถมศึกษาของนักแสดงสาวชาวญี่ปุ่น ของบริษัท NHK บริษัทโทรทัศน์ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น คุโรยานางิ เท็ตสึโกะ ซึ่งเธอบอกเล่าถึงเรื่องเกี่ยวกับความซุกซนของเธอ เรื่องราวขึ้นเมื่อเธอ ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเมื่ออยู่เพียงชั้นประถมปีที่หนึ่ง แล้วได้เข้าสู่โรงเรียนแห่งใหม่ โรงเรียนประถมศึกษาโทโมเอ ได้พบกับคุณครูใหญ่ที่แสนดี ความประทับใจที่มีต่อคุณครูและเพื่อนๆ ที่โรงเรียน โดยเฉพาะการดูแลนักเรียนของคุณครูที่เต็มไปด้วยความรัก ความเอาใจใส่ต่อลูกศิษย์และเทคนิควิธีการสอนที่มุ่งให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ตามธรรมชาติและความถนัดของแต่ละคน ไม่เน้นให้เรียนแบบท่องจำให้ผู้อ่านทั่วไปได้รับรู้
วรรณกรรมเด็กเรื่องนี้ หลังจากที่ผมได้อ่านแล้วรู้สึกถึงความใส่ใจในการเรียนรู้เด็ก จากคุณครูและครูใหญ่ หากในเมืองไทยมีโรงเรียนที่คุณครูที่ใส่ใจกับนักเรียนได้เช่นนี้แล้วล่ะก็ เด็กไทยคงจะมีความรักต่อโรงเรียน ครูบาอาจารย์ และเพื่อนๆ ดีกว่านี้แน่
เพราะอะไรน่ะเหรอ เท่าที่ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการสำรวจความคิดเห็นของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในการออกแบบสำรวจ ที่ได้ทำการสำรวจประชาชนและนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาเกี่ยวกับความประทับใจต่อโรงเรียนในอดีต คุณเชื่อไหมว่า เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็น เมื่อถามถึงความประทับใจต่อโรงเรียนในอดีตแล้ว คนทั่วไปนึกถึงอะไร อาจจะไม่ใช่อย่างที่คุณคิดก็ได้ “เพื่อน” ครับเพื่อน ที่คนส่วนใหญ่คิดถึงและประทับใจ
ส่วนอันดับสอง ได้แก่โรงเรียน อันดับสุดท้ายที่คนทั่วไปประทับใจ ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็น คือ “คุณครู” น่าตกใจไหมครับกับแบบสำรวจอันนี้
และมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็น ที่คนส่วนใหญ่ประทับใจคือ โรงเรียนระดับมัธยมปลาย มีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นที่คนส่วนใหญ่จะประทับใจในโรงเรียนระดับประถม
หากกล่าวถึงแบบสำรวจนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนส่วนน้อยทันที เพราะความประทับใจที่ในโรงเรียนจนถึงทุกวันนี้ก็คือ คุณครูตอนที่ผมเรียนสมัยผมเรียนในระดับชั้นประถม
แม้ว่าตอนสมัยประถมผมย้ายโรงเรียนสมัยประถมบ่อย เหมือนโตีะโตะจัง แต่ความรู้สึกประทับใจนี้ยังคงมีต่อผมจนถึงทุกวันนี้
สมัยประถม ผมเรียนที่โรงเรียนบ้านนอกแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ผมไปโรงเรียนตั้งแต่อายุสี่ขวบ ผู้อ่านคงแปลกใจใช่ไหมครับว่าทำไมผมไปโรงเรียนตั้งแต่อายุเพียงเท่านั้น
แม่ผมเป็นครูที่โรงเรียนแห่งนั้น และบ้านก็อยู่ใกล้โรงเรียน ก็เป็นธรรมดาที่เด็กๆ อยากอยู่ใกล้แม่ของตัวเอง ผมเลยแอบหนียายไปหาแม่ที่โรงเรียนประจำ
ผมลืมบอกไปครับว่าตอนผมเป็นเด็ก คุณยายทวดของผมแกคอยดูแลผมตอนที่พ่อแม่ออกไปทำงาน
พอผมหนีไปที่โรงเรียนทีไร แม่ผมจะตีผมและพาผมกลับบ้านทุกที ผมก็ร้องไห้ประจำตามประสาเด็ก
แต่มีอยู่วันหนึ่ง คุณครูสมดี แสงจันทร์ ผมยังจำชื่อและนามสกุลของครูคนแรกของผมได้จนถึงทุกวันนี้ ครูสมดีแกเป็นครูที่ทำงานที่โรงเรียนเดียวกับแม่ของผม วันนั้นผมก็แอบหนียายไปตามเคย และผมก็ถูกตีเหมือนเคย แต่วันนั้นแกคงสงสารผมกระมังผมก็ไม่แน่ใจแต่ผมคิดว่าคงเป็นอย่างนั้นแหละ
แกบอกว่ากับแม่ผมว่าไม่ต้องไล่ผมกลับบ้าน ให้ผมเข้าไปเรียนที่ชั้นปอหนึ่งกับแก แล้วผมก็เข้าไปเรียนที่ชั้นปอหนึ่งตั้งแต่ตอนนั้น ตอนผมอายุสี่ขวบ
ผมลืมอธิบายอะไรเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ไป คือเท่าที่ผมจำได้ มีครูที่สอนในโรงเรียนนี้เพียง เจ็ดท่านรวมแม่ของผมด้วย ครูที่นี่จะใช้วิธีเวียนกันสอนในแต่ละวิชา ไม่มีอาจารย์ประจำชั้น ส่วนนักเรียนมีเยอะเท่าไหร่ผมจำไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ตอนที่ผมเรียนอยู่ในห้องปอหนึ่งนั้นมีนักเรียนแค่ สิบสองคนเท่านั้นเอง ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโต๊ะโตะจังครับ
ผมชอบวิธีการสอนของครูสมดีมาก พอถึงชั่วโมงภาษาไทยซึ่งแกเป็นครูประจำวิชานี้ แกจะพานักเรียนลงจากห้องไปรวมกันที่ร่มไม้ แล้วให้นักเรียนหัดเขียนตัวหนังสือบนพื้นดินใต้ร่มไม้นั่นแหละ โดยครูสมดีแกจะยกบัตรคำขึ้นมา แล้วให้นักเรียนอ่าน
ส่วนวิธีการอ่านผมจะอธิบายให้รู้นะครับ คือยกตัวอย่างว่า ครูสมดียกคำว่า “กา” ขึ้นมา แกจะชี้ที่ตัว “ก” แล้วถามก่อนว่า
“ตัวนี้ตัวอะไร”
“กอไก่” พวกผมตอบพร้อมกันเสียงดัง
“ออกเสียงว่าอะไร” แกถามต่อ
“กอ” พวกผมตอบพร้อมกันเสียงดังอีก
แล้วแกจะชี้ที่ตัวสระอาแล้วถามว่า “ตัวนี้ตัวอะไร”
“สระอา” พวกผมตอบพร้อมกันเสียงดังอีกครั้ง
“ออกเสียงว่า” แกถามต่อ
“อา” พวกผมตอบพร้อมกันเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง
“รวมกันแล้ว...อ่านว่า”
แล้วพวกผมก็จะตอบว่า “กอ..อา..กา” แต่คราวนี้ไม่ค่อยพร้อมกัน และเสียงเหมือนขาดๆหายๆ
พออ่านเสร็จแล้ว ครูสมดีจะเก็บบัตรคำ แล้วให้เขียนพวกผมเขียนที่เพิ่งอ่านไป พื้นดินตรงหน้าของแต่ละคน แล้วแกก็เดินตรวจทุกคน พอตรวจครบทุกคนและเขียนถูกทุกคนแล้วแกก็จะยกบัตรคำใหม่ออกมาทำอย่างนี้เรื่อยๆ ถ้าบางทีเห็นว่าเด็กเบื่อแกก็จะเล่านิทานให้เด็กฟัง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องในวรรณคดีไทย หรือไม่ก็มีนิทานอีสป และครูจะย้ำให้คติสอนใจนักเรียนในตอนจบของนิทานทุกๆ เรื่องอยู่เสมอ
และคุณครูอีกท่านที่ผมจำได้ก็คือ คุณครูทองสุข ชินฝั่น เป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์แกมีวิธีการสอนเลขที่แปลกมากสำหรับผมในตอนนั้น
ตอนแรกที่เรียนแกจะให้นักเรียนทุกคนนับ หนึ่งถึงหนึ่งร้อยโดยให้นักเรียนนับนิ้วไปด้วยให้ได้ซะก่อนในชั่วโมงแรกๆ จนนักเรียนท่องได้ทุกคน ชั่วโมงต่อมาแกก็สอนบวกเลข ยกตัวอย่างว่า 5 + 2 แกจะบอกว่า
“นับห้าเอาไว้ในใจ แล้วนับนิ้วต่อไปอีกสองนิ้ว” แล้วแกจะให้พวกผมนับต่อกัน
“หก..เจ็ด” พวกผมนับนิ้วไปด้วย และตอบไปด้วย
เมื่อพวกผมนับนิ้วบวกเลขได้ ลบเลขได้แล้วแกถึงจะสอนวิธีตามหลักสูตรปอหนึ่ง และในตอนสอบประจำเทอม ผมไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นเพื่อนๆ หลายคนนั่งนับนิ้วไปแล้วบ่นพึมพำไปด้วย
การสอนของครูสมดี และครูทองสุข ผมว่าเป็นการสอนที่เข้าถึงจิตใจนักเรียน ครูคงอยากสอนให้นักเรียนของครูได้รับความรู้ ทั้งยังให้ความสนุกสนานแก่นักเรียน
นี่แหละครับความประทับใจต่อโรงเรียนเดิมในอดีตของผม
ส่วนที่ผมว่าชีวิตผมคล้ายโต๊ะโตะจัง คงเป็นเพราะผมย้ายโรงเรียนบ่อย ที่ย้ายบ่อยไม่ใช่ถูกไล่ออกนะครับ แต่เป็นเพราะพ่ออยากให้ผมเข้าโรงเรียนดีๆ แต่พอผมเข้าชั้นปอสาม พ่อก็ให้ผมย้ายโรงเรียนครั้งแรกเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ
ลืมบอกไปว่าผมเข้าเรียนตามเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้นะครับ ผมเรียนชั้นปอหนึ่งจาก 4 ขวบ จนถึง 7 ขวบ พอ 8 ขวบถึงได้เลื่อนขึ้นชั้นปอสอง
จากนั้นพอถึงปอห้า ผมก็ย้ายเข้าไปเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด และครูที่โรงเรียนประจำจังหวัดนี้ ผมมีความทรงจำที่แย่มากต่อโรงเรียนและครูบาอาจารย์ ผมไม่บอกแล้วกันว่าทำไมถึงทำให้ผมรู้สึกเกลียดได้ขนาดนั้นแต่แอบแง้มเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ผมรู้ว่าผมไม่ผิด คืออาจารย์ที่โรงเรียนรับบริจาคเงินจากผู้ปกครองนักเรียนโดยอาจารย์จะเอาซองสีขาวมาแจกนักเรียนบางคน ขอย้ำนะครับแค่บางคน และผมก็เป็นเด็กผู้โชคร้ายคนนั้นด้วย
หลังจากผมได้ซองขาวนั่น ผมถือซองกลับบ้าน และวางไว้บนโต๊ะเพราะพ่อกับแม่มีแขกและผมไม่อยากกวนท่าน ผมแปลกใจกับการขอบริจาคของโรงเรียนนี้มาก พอตอนเช้าผมก็ลืมถือซองมาโรงเรียนด้วย ผมโดนอาจารย์ด่า ไม่ใช่ด่าธรรมดานะครับ โดนด่าประจานต่อหน้าเพื่อนทุกคนในห้อง ตอนนั้นผมรู้สึกผิดมากที่ไม่ได้ถือซองขาวเจ้าปัญหามาด้วย แต่พอตอนนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่าผมไม่ผิด เพราะพวกคุณขอบริจาค ผมจะให้หรือไม่ก็ได้ มันก็เรื่องของผม
มันยังไม่จบแค่นั้น พอกลับบ้านไปผมพูดเรื่องซองบริจาคกับพ่อแม่แต่ไม่ได้เล่าเรื่องถูกด่าให้ฟัง เช้าวันต่อมาผมถือซองมาด้วย ตอนแรกอาจารย์ยิ้มแป้น พูดซะหวานหู แต่พอเปิดดูข้างในซองแล้วหน้าตากับเปลี่ยน คำพูดจากลับเปลี่ยนทันที หลังเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จ ผมถูกผู้อำนวยการเรียกพบ พอเข้าไป บรรยากาศรอบข้างผมรู้สึกถึงความกดดันอย่างมาก ในห้องนั้นมีอาจารย์ประมาณ สิบคนมีอาจารย์ประจำชั้นผมด้วย
พอผมเข้าไปในห้องนั้น ทุกคนมองมาที่ผม รองผู้อำนวยการสั่งให้ผมคุกเข่าลงแล้วบังคับให้ผมก้มลงกราบขอโทษ แต่ตอนนั้นผมงง ผมทำผิดอะไรตัวผมยังไม่รู้เลย ผมได้แต่หันไปรอบๆตัว เพื่อหาที่พึ่ง ก็เป็นธรรมดาของนักเรียนชั้นปอห้า ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร และพยายามหาที่พึ่งแต่สายตาของอาจารย์รอบตัวผมเหมือนนางยักษ์ที่จ้องคอยจะกินเลือดกินเนื้อผมไม่มีผิด
ผมร้องไห้แต่ก็ก้มลงกราบโดยไม่รู้ความผิดตัวเอง และผมมารู้ความจริงในตอนที่อาจารย์ประจำชั้นมาด่าประจานผมอีกรอบห้องเรียน ว่าผมเป็นไอ้คนจอมโกหก จอมหลอกลวง เรื่องคือ ตอนที่อาจารย์ให้ซองมา อาจารย์บอกว่าขอบริจาคซักห้าร้อย และผมก็คิดว่าหนังสือในซองสีขาวซองนั้นคงบอกรายละเอียดไว้ด้วยเพราะผมไม่ได้พูดเรื่องอาจารย์ขอรับเงินบริจาคห้าร้อย แต่เนื้อความในหนังสือฉบับนั้นกลับบอกว่าขอรับบริจาคตามจิตศรัทธาของผู้ปกครอง แม่ผมก็ใส่ซองสามร้อย และจำนวนเงินสามร้อยในตอน ปี พ.ศ. 2532 ก็ถือว่ามากโขพอสมควร ผมถูกหาว่าเป็นจอมลวงโลกว่าผมโกหกอาจารย์ ทั้งที่ผมไม่ได้รับปากซะหน่อยว่าจะให้เงินบริจาคห้าร้อย และอีกอย่างเงินนั้นก็เป็นของพ่อแม่ผม ทั้งหนังสือก็บอกว่าบริจาคตามจิตศรัทธา แล้วผมกลายเป็นจอมลวงโลกเพราะแม่ผมบริจาคเงินให้ทางโรงเรียนน้อยกว่าเพื่อนคนอื่นๆ
ถึงผมบอกชื่อโรงเรียนไม่ได้ แต่โรงเรียนประถมแห่งนั้นตั้งอยู่บนถนนหมากแข้งครับ และขอย้ำว่าเป็นโรงเรียนระดับประถมหนึ่งถึงหก ไม่ใช่โรงเรียนที่ขยายโอกาสถึงมอสามและไม่ใช่โรงเรียนที่มีชื่อเดียวกับชื่อถนนนะครับ บนถนนนั้นมีโรงเรียนเดียวครับ
นอกเรื่องมาซะไกล กลับเข้าสู่เรื่องราวหลักกันดีกว่าครับ เรื่องความประทับใจในโรงเรียนในอดีต ผมมีความเห็นว่า คุโรยานางิ เท็ตสึโกะหรือโต๊ะโตะจัง คงมีความประทับใจในโรงเรียน
โทโมเอ โรงเรียนระดับชั้นประถมของเธอมากแน่นอน ผู้ที่อ่านเรื่อง “โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” จะสามารถรับรู้ได้จากรายละเอียดปลีกย่อยที่เราเห็นผ่านตัวอักษรในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสภาพทั่วไปของโรงเรียน ที่ห้องเรียนเป็นตู้รถไฟ หรือว่ามีสระน้ำ หรือว่าจะเป็นระยะทางจากบ้านของโต๊ะโตะจังถึงโรงเรียนว่ามีอะไรบ้าง หรือว่าโรงเรียนอยู่ใกล้ที่ไหน ลักษณะนิสัยของครู และครูใหญ่ในโรงเรียน รวมถึงการสอนและเรียนรู้ของเด็กในโรงเรียนแห่งนี้ คุโรยานางิ เท็ตสึโกะได้อธิบายได้อย่าละเอียดถี่ถ้วนเพียงใด
หลังจากอ่านเรื่อง “โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” จบผมมีความรู้สึกคิดถึงโรงเรียนชั้นประถมของผมทั้งสามโรงเรียน โดยเฉพาะความประทับใจที่ผมมีต่อ คุณครู สมดี แสงจันทร์และคุณครู ทองสา ชินฝั่น ในลักษณะการสอนของท่านทั้งสองและการเรียนรู้ของเพื่อนๆในห้องของผม
มีอยู่บ่อยครั้งที่ผมกลับไปที่โรงเรียนแห่งนั้น และได้พบเจอกับครูสมดี ท่านยังสอนนักเรียนแบบที่ผมเคยเรียนกับท่านอยู่เช่นเคย แต่ร่มไม้ที่ผมและเพื่อนเคยได้นั่งเล่น นั่งเรียนแห่งนั้นได้หายไป และห้องเรียนก็เปลี่ยนสภาพจากอาคารไม้เป็นคอนกรีตก็ตาม แต่ความรักและความประทับใจที่มีต่ออาจารย์ทั้งสองท่านของผมยังมีอยู่ในความทรงจำไม่เสื่อมคลาย
หากเปรียบเทียบเรื่องความน่าสนใจในวรรณกรรมเรื่องนี้แล้วผมบอกได้เลยว่า ตอนที่ผมอ่านในแต่ละตอนแล้ว ภาพความทรงจำในอดีตที่จางหายไปของผมได้กลับเข้ามาอีกครั้ง แม้ว่าในตอนนี้คุณครูทองสา จะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วแต่วิธีการนับเลขที่ท่านเคยสอน ผมก็ยังใช้มาจนทุกวันนี้
ลองหาวรรณกรรมเรื่องนี้มาอ่านดูนะครับ ภาพความทรงจำที่เคยเลือนรางไปของท่านอาจจะย้อนกลับมาอีกครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีเท่าไรก็ตาม พยายามเก็บรายละเอียดเฉพาะความทรงจำที่ดีนี้ไว้ แล้วลองดูว่าคุณจะนึกถึงใครเป็นอันดับแรก เมื่อนึกถึงโรงเรียนในอดีต ท่านจะเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ หรือคนส่วนน้อยเหมือนผม
หากท่านมีโอกาสไปที่จังหวัดอุดรธานี ลองแวะไปที่อำเภอโนนสะอาดนะครับ หากท่านได้แวะที่ตลาดซื้อของแล้ว ท่านลองสังเกตดูว่ามีคนใช้นิ้วนับเลขแบบที่ท่านไม่ค่อยได้พบเห็น นั่นแหละครับ ลูกศิษย์ของคุณครูทองสา ชินฝั่น

บทความวิจารณ์นี้ขออุทิศให้กับคุณครูผู้ที่อยู่ในความทรงจำของผม และเพื่อน พี่ น้องโรงเรียนบ้านโนนสำราญ

บทวิเคราะห์ - วิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่อง “ ทวาร..ยังหวานอยู่ ”

เรื่องย่อ

ทวารยังหวานอยู่ เป็นเรื่องราวของการต่อสู้ของ 2 สำนักกลองคือ สำนักกลองเทวดา และสำนักกลองพญายม ที่ต้องมาต่อสู้กันทุก 10 ปี จนมาถึงรุ่นของ เบ๊ ก่อนถึงวันประลอง เบ๊ ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของ เจ๊วิก เจ้าของห้องเช่า และถูกตำรวจตามล่าในฐานะฆาตกร เบ๊จึงไปขอความช่วยเหลือจาก ต้น ศิษย์พี่ร่วมสำนักกลองเทวดา ในระหว่างการหนีทั้งเบ๊และต้นก็ได้พบกับเรื่องวุ่นๆมากมาย จนถึงวันประลอง เบ๊ ถูก ต้น หักหลัง พร้อมทั้งได้รู้ว่าความจริงว่า
เจ๊วิก ยังไม่ตาย และทั้งหมดเป็นแผนของ เจ๊วิก ที่ไม่ต้องการให้ เบ๊ มาประลอง เพราะตัวแทนของสำนักกลองพญายมคือ เดวิด คนรักของเจ๊วิก

ทฤษฎี หลังสมัยใหม่ (Postmodern Theory )

ทฤษฎี หลังสมัยใหม่ (Postmodern Theory ) เป็นแนวคิดที่ยากทีจะนิยามให้ชัดเจน เพราะเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในความหลากหลายของสาขาวิชา มันมีความคลุมเครือและไม่แน่นอน เป็นการปฏิเสธการจำแนกอย่างชัดเจน มีลักษณะเปิดกว้างทางความคิด ไม่ต่อเนื่อง เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ต่อต้านการตีความ ไร้โครงสร้าง และเน้นการล้อเลียน

บทวิเคราะห์

เนื่องจากการวิเคราะห์ตามทฤษฎีหลังสมัยใหม่ (Postmodern Theory ) ไม่มีรูปแบบตายตัวผู้จัดทำจึงขอวิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่อง “ทวารยังหวาน” อยู่ตามหัวข้อดังนี้
1. ปฏิเสธความมีอยู่ของผู้แต่ง
2. ปฏิเสธประวัติศาสตร์ แต่โหยหาอดีต
3. ปฏิเสธโครงสร้าง และการจัดลำดับ
4. การคลุกเคล้า หรือ การยำใหญ่ ( eclectic )
5. การ “ไม่มีอะไรอยู่ในตัวบท” สร้างให้คนดูคิดเอง



1. ปฏิเสธความมีอยู่ของผู้แต่ง
ตามแนวคิดทฤษฎีหลังสมัยใหม่ (Postmodern Theory ) คือ ตัวบทไม่มีไม่มี
ขอบเขตอันแน่ชัด ไม่มีรูปแบบชัดเจน ไม่มีอะไรเป็นของผู้แต่ง ไม่มีความเป็นต้นฉบับ แต่ทุกอย่างสามารถลอกแบบได้ เช่น
- ตอนเปิดเรื่องที่มีตัวหนังสือขึ้นมานำเรื่อง พร้อมเสียงดนตรี ทั้งหมดนั้นมีการลอกแบบการนำเรื่องจากภาพยนตร์เรื่อง STAR WAR
- ก่อนที่เบ๊ตีกลองเทวดาเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้ฆ่าใครแล้วมีนกออกมาจากหัว เป็นการลอกแบบมาจากโฆษณาของ วัน-ทู-คอล

2. ปฏิเสธประวัติศาสตร์ แต่โหยหาอดีต
เป็นการคิดถึงอดีต นำเรื่องในอดีตมาเล่าแต่อดีตนั้นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ หากเป็น
การนำประวัติศาสตร์มาล้อเลียน เช่น
- ก่อนเปิดตัวเบ๊ ตัวเอกของเรื่อง เป็นการเล่าเรื่องย้อนอดีต จากมีคนดูข่าวเรื่องไข้หวัดนกจากมือถือ ตามด้วยข่าวการจัดตั้งรัฐบาลของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ผ่านโทรทัศน์สีติดผนัง การแถลงข่าวค่าเงินบาทลอยตัวในสมัยนายก ชวลิต ยงใจยุทธ ผ่านโทรทัศน์สีจอแบน มิวสิกวีดีโอเพลง เก็บตะวัน ของ อิทธิ พลางกูล ผ่านโทรทัศน์สีแบบใช้รีโมท ข่าวการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 200 ปีผ่านโทรทัศน์ขาวดำ ในห้องนั้นมีคนเล่นระนาด และเบ๊ตีกลองอยู่ที่ห้องติดกัน
- ตอนที่เบ๊นึกถึงตอนเรียนตีกลองในสำนักกลองเทวดา อาจารย์ใส่ชุดแบบจอมยุทธในหนังกำลังภายใน แต่เบ๊และต้นกลับสวมชุดแบบ บรูชลี ดาราหนังกังฟูสมัยใหม่
- การล้อเลียน พระยันตระ ก่อนออกบวชเป็นตอนที่ เบ๊ พูดเกลี้ยกล่อมนาย วินัย เพื่อไม่ให้ฆ่าตัวตาย และเบ๊แนะนำให้นายวินัยไปบวชที่วัดลิเจีย แล้วเปลี่ยนเป็นชื่อ ยันตระ ( แต่ใน ฉบับของวีดีโอซีดี ได้ถูกตัดออกไป ) แล้วเป็นภาพของนายวินัยห่มจีวรสีเขียว
- การล้อเลียน พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ในสมัยที่เปิดโรงหนัง เป็นตอนที่รถฉายหนังขี่มารับเบ๊แล้ว ขอโทษที่ตนนั้นมาช้าแล้วพูดว่า “ ผมบกพร่องก็จริง แต่ผมสุจริต ” และมีอีกหลายตอนที่เป็นการล้อเลียน ไม่ว่าจะเป็น การตั้งชื่อพรรคการเมือง ท่าทางที่ใช้ในการหาเสียง (สมัยก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี) รวมทั้งความคิดที่จะขายโทรศัพท์มือถือ
3. ปฏิเสธโครงสร้าง และการจัดลำดับ
คือ การไม่ให้ความสำคัญในการจัดลำดับเรื่อง แต่ละตอนอาจไม่เกี่ยวเนื่องกันใน เชิงเวลา ยกตัวอย่าง เช่น
- ในตอนที่เบ๊วิ่งหนีออกจากห้องไป นายเบ๊ไปพบกล่องบริจาคของกองทุน หนังไทย แล้วนายเบ๊ก็ร่วมบริจาค ไป กองทุนหนังไทยเริ่มตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2546 แต่ใน ภาพยนตร์เรื่อง “ทวาร..ยังหวานอยู่” เป็นภาพยนตร์ย้อนยุคอยู่ในปี พ.ศ. 2525
- ตอนที่สุนัขตำรวจที่ชื่อ ซื่อบื้อ จมน้ำตาย สารวัตร หูดำ ซึ่งเป็นเจ้าของได้เล่า ย้อนอดีตให้ลูกน้องของตนเองฟังว่า เจ้าซื่อบื้อ เป็นสุนัขของภรรยาเก่าของตนทิ้งไว้ให้ก่อนเลิกกัน เพราะเป็นสุนัขอาถรรพ์ คู่ไหนเลี้ยงก็เลิกกันหมด แล้วมีภาพของดาราสาวคนหนึ่งชูตุ๊กตาหมาที่ตั้งชื่อให้ว่า ซื่อบื้อ ในตอนแถลงข่าวว่าตนคบกันกับนักเทนนิสมือหนึ่งของเมืองไทย
- ในตอนท้ายเรื่องการเปลี่ยนชื่อวงดนตรีของ ต้น จากวงดนตรีที่ชื่อ พีซี มาเป็นแมคอินทอช ด้วยความคิดของหมี ที่เห็นต้นกัดลูกแอปเปิ้ล (พีซี (PC) เป็นชื่อเรียกของเครื่อง Computer แบบตั้งโต๊ะ แมคอินทอช (Mc Intosh) เป็นเครื่อง Computer ทีใช้ในการทำกราฟฟิก มีโลโก้คือรูปแอปเปิ้ลถูกกัด)

4. การคลุกเคล้า หรือ การยำใหญ่ ( eclectic )
คือ การนำเอาหลากหลาย กาละเทศะ ยุคสมัย วัฒนธรรมมาผสมผสานกัน ยกตัวอย่าง เช่น
- ในตอนเริ่มต้นเรื่องตอนที่เบ๊วิ่งผ่านขบวนแห่สิงโตมานั้นในขบวนแห่ มี
คนแต่ตัวเป็นอุลตร้าแมนด้วย
- การดวลกลองของสำนักกลองเทวดาและสำนักกลองพญายมในอดีตที่มี
อาจารย์ของเบ๊เป็นตัวแทนของสำนักกลองเทวดา และริงโกสตาร์ (มือกลองของวง เดอะ บีทเทิล) เป็นตัวแทนของสำนักกลองพญายม
- การทำระเบิดของเหมียว และอู๋ ในตอนที่ จะช่วยเบ๊และต้นแหกคุก ด้วยการกระทำแบบไสยศาสตร์แต่กลับมีการใช้ขี้กบแบบกระป๋อง
- ตอนขอนั่งรถไปตามหาเจ๊วิก เบ๊เป็นหวัดจามใส่ไก่ แล้วไก่พวกนั้นกลายเป็นหวัด เป็นที่มาของไข้หวัดนก และยังมีทั้งคนที่แต่งตัวเป็น นางเอกหนังฮอลิวูด นักร้องเพลงร็อกชื่อดังของเมืองไทยยุคปัจจุบัน นักรบหญิงไทยในอดีต มาทาดอร์ ฯลฯ.
5. การ “ไม่มีอะไรอยู่ในตัวบท” สร้างให้คนดูคิดเอง
คือ การที่ตัวบทไม่มีขอบเขตที่แน่ชัด ไม่มีต้นแบบ แต่ปรากฏการณ์ทุกอย่างมี
ความสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ (sine) หรือกิริยาท่าทาง ใช้แทนความหมาย และสามารถให้คนดูคิดเอาเองได้ เช่น
- ในตอนต้นเรื่องที่เป็นการแนะนำทีมงานสร้างภาพยนตร์ มีการใช้สัญลักษณ์แทนความหมายหลายตอน ไม่ว่าจะเป็นตอน เบ๊ใช้ที่บดปลาหมึกบดฟิล์ม สื่อแทนคำว่า “บทภาพยนตร์” , ป้ายชื่อของทีมงาน MUSIC SCORE ที่มีชื่อว่า “แสน-แสบ” อยู่ในท่อระบายน้ำ, ผู้กำกับ
ภาพยนตร์ยืนกำกรับ ฯลฯ
- การเล่นคำในภาพยนตร์ ยกตัวอย่าง เช่น ป้ายบอก “ทางหนี- ทีไล่” แล้วเบ๊
เลือกวิ่งไปที่ทางหนี, ตั้งสติ ที่เบ๊เอาคำว่า “สติ” มาตั้ง, ต้นบอกว่า “ฉันขอร้องล่ะ” แล้วมีไมโครโฟนมาจ่อที่หน้าต้น, เบ๊บอกกับเหมียวและอู๋ว่าเขาฆ่าใตรไม่ได้เพราะตัวเขาเองถือศีลห้าอยู่ และในมือเบ๊ก็ถือคำว่า “ศีล 5” ฯลฯ
ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ ภาพยนตร์เรื่อง “ ทวาร..ยังหวานอยู่ ” ตามทฤษฎี หลังสมัยใหม่ (Postmodern Theory) แต่เนื่องจาก ทฤษฎี หลังสมัยใหม่ นั้นไม่มีรูปแบบที่ตายตัวจึงไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ทั้งหมดได้

เรื่องสั้น - เมื่อรักของเรา ไม่เข้า(ใจ)กัน (บทที่สอง)

เสียงนั้นยังดังกึกก้องภายในหูของผม จิตใจที่แสนกระวนกระวายและรุ่มร้อน ตัวผมไม่สามารถทำให้มันสงบลงได้ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจทำบางอย่าง
“...ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน...”
เพลงดังขึ้นหลังจากที่ผมกดรีโมท ผมกระแทกตัวลงบนเตียง เฝ้านึกถึงวันเก่าๆ ที่ผมและเธอเคยอยู่ด้วยกันในห้องนี้ นี่เป็นเพลงโปรดของผม ทุกครั้งที่เพลงนี้ดังขึ้น ผมจะร้องคลอเพลงนี้ นั่งลงที่ข้างเธอ หอมแก้มเธอเบาๆ และกระซิบบอกกับเธอว่า
“เต้รักอุ๋ยมากนะ”
แต่ตอนนี้ อุ๋ยไม่อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
ผมรู้จักอุ๋ยครั้งแรกในวันรับน้องใหม่ เธอเป็นผู้หญิงจากเมืองหลวงเพียงคนเดียวที่เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ส่วนผมก็ไม่ใช่คนในพื้นที่นี้หรอก ผมมาจากจังหวัดอื่น สาเหตุที่ผมมาเรียนที่นี่เพราะผิดหวังจากความรัก และผมต้องการหนีห่างจากความเจ็บปวดนั้นให้ไกลที่สุด
ในครั้งแรกที่ผมเห็นอุ๋ย เธอช่างเหมือนนางในฝันของใครสักคนที่เดินหลุดออกมาจากจินตนาการของคนๆนั้น แล้วมีตัวตนอยู่จริง หรือไม่เธอคงจะเป็นเจ้าหญิงจากดินแดนที่แสนไกล พลัดพรากจากบ้านเมืองมา เธอนั่งอยู่ตรงนั้น ผมอยากจะรวบรวมความกล้าทั้งหมด แล้วเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ แต่ความกล้านั้นมันยังไม่พอ ที่จะพาร่างกายเข้าไปใกล้เธอแม้เพียงคืบเดียว
แต่ เธอมักจะนั่งเหมอทุกครั้งที่ผมเห็น
“น้องใหม่ฟังเรียกแถว แถวตอนเรียงสิบ ทั้งหมด จัดแถว!!”
เสียงตะโกนของรุ่นพี่ที่ใส่ชุดดำดังขึ้น ระหว่างที่จัดแถวนั้นผมเหลือบไปเห็นเธอเข้า เจ้าหญิงของผม เธอยืนอยู่ด้านซ้ายมือของผม ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว
แต่ว่าที่เธอมายืนอยู่ตรงนี้มันผิดกฎ ที่พวกรุ่นพี่ได้ตั้งไว้
‘ใครทำผิดกฎต้องโดนลงโทษ’
ผมนึกถึงคำพูดที่รุ่นพี่พูดไว้เมื่อวาน ผมต้องรีบเตือนเธอ ผมไม่อยากให้เจ้าหญิงของผมต้องถูกลงโทษ
“นี่เธอ เมื่อวานไม่ได้เข้าเหรอ”
‘นี่หรือคือคำเตือน’
ความคิดของผมโผล่พรวดขึ้นมาทันทีที่ผมพูดออกไป เธอหันหน้ามองที่ผม แล้วพยักหน้าตอบ เธอรับรู้ถึงการมีตัวตนของผมแล้ว และผมรวบรวมความกล้าขึ้นอีกครั้ง เพื่อจะพูดกับเธอ
“ตรงนี้รุ่นพี่ ให้เข้าแถวเฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้ - ”
“ ใครบอกให้พูดในแถว!!”
เสียงตะโกนขัดจังหวะการพูด จากรุ่นพี่ชุดดำคนหนึ่ง
“น้องใหม่ทั้งหมด วิดพื้นท่าเตรียม ปฏิบัติ!!! ”
พอสิ้นเสียง ผมและเพื่อนๆพร้อมใจกันปฎิบัติทันที
‘นั่น! เจ้าหญิงของผมกำลังจะทำตามที่รุ่นพี่สั่ง ผมทำให้เธอต้องลำบาก’
ในใจผมร้องตะโกนออกมา พร้อมกับวิงวอนต่อพระเจ้า อย่าให้เธอต้องถูกลงโทษ
“น้องผู้หญิง ไม่ต้องทำ ออกมานี่”
เสียงของรุ่นพี่พูดออกมา โอ้พระเจ้า ทรงฟังคำขอร้องจากลูกแกะตัวน้อย ตัวนี้
“ขอโทษนะที่ทำให้ลำบาก”
เธอพูดก่อนที่เธอจะลุกยืนขึ้น เสียงของเธอเปรียบเหมือนเสียงของนกการเวกตัวที่ร้องได้เพราะมากที่สุดในจักรวาลนี้
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง”
ผมยิ้มให้เธอด้วยความปิติที่สุด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักอุ๋ย
ผมและอุ๋ยเรียนอยู่ในคณะเดียวกัน เราเรียนอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในคณะนี้มีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงมากมายหลายเท่า ผู้หญิงจึงถูกตั้งเป็น ‘สมบัติคณะ’ รุ่นพี่ได้มีคำสั่งให้ผู้ชายดูแลสมบัติคณะ นี่ก็ถือเป็นโอกาสอันดีเยี่ยม ที่จะทำให้ผมได้ดูแลอุ๋ย และอุ๋ยจะได้มองเห็นผมอยู่ในสายตาของเธอบ้าง และเป็นอีกครั้งที่ผมเห็นอุ๋ยนั่งเหมอลอย เหมือนเธอปลดปล่อยวิญญาณของตัวเองออกจากร่างกายไป อุ๋ยเศร้าใจเรื่องอะไร ผมอยากช่วยเธอได้บ้าง
แม้ว่าหมดฤดูกาลรับน้องใหม่ไปแล้ว ผมยังคงดูแลเธอเหมือนเคย ผมอยากแบ่งเบาเอาความเศร้าหมองของอุ๋ยมาไว้กับผม ผมอยากเห็นอุ๋ยยิ้ม ผมหลงรักอุ๋ยแล้ว
“สงสัยคิดถึงแฟนว่ะ…”
นั่นเป็นคำพูดของพี่รหัสผม หลังจากที่ผมขอคำปรึกษา
“การที่จะให้ลืมรักเก่าได้ ต้องมีรักครั้งใหม่”
และนี่เป็นสิ่งเพื่อนผมแนะนำให้ผมทำ
ผมคอยดูแลอุ๋ยทุกอย่าง เท่าที่ผมจะทำได้ และในที่สุดผมก็
ไม่เห็นอุ๋ยนั่งเหม่อลอยอีก
หลังจากที่เราสองคนรู้จักกันไม่กี่เดือน ผมก็ได้ร่วมหลับนอนกับเธอ ทุกอย่างมันเร็วไปสำหรับเรา หรือนี่เป็นการแสดงออกทางความรักของหญิงสาวชาวกรุงที่มีความเจริญศิวิไล แม้ผมกับอุ๋ยจะนอนสบตากันหลังจากความพลุ้งพล่านทางอารมณ์รักของสองเราจบลง ผมมีความรู้สึกว่าอุ๋ยไม่ได้มองผมเลยอย่างไรก็ตามแต่ ผมรักอุ๋ยมาก
“อุ๋ย เต้รักอุ๋ยนะ”
มันเป็นคำพูดง่ายๆ แต่ใช้แทนความรู้สึกทั้งหมดของผมในตอนนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน เราสองคนก็ย้ายออกไปอยู่ด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต ที่ผมได้อยู่กับคนที่ผมรัก ได้ใช้ชีวิตกับคนที่ผมรัก ไม่ว่าตอนเรียน ทานข้าว แม้แต่เวลานอน เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
ผมให้คำมั่นสัญญากับอุ๋ยหลังจากที่เรียนจบ เราจะแต่งงานกัน เพราะผมไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่โดยไม่มีอุ๋ย
หนึ่งปีผ่านไป ถึงเวลาที่เราสองคนจะต้องเลือกสาขาวิชาของวิศวกร ผมเลือกสาขาวิศวกรรมโยธา ส่วนอุ๋ยเลือกสาขา
วิศวกรรมไฟฟ้า
‘แม้เราจะไม่ได้เรียนด้วยกัน แต่เราก็ยังอยู่ด้วยกันและรักกันเหมือนเดิม’
มันเป็นความคิดของผมในตอนนั้น
หลังจากการรับน้องใหม่ผ่านไป ถึงเวลาที่พวกรุ่นพี่อย่างผมและอุ๋ย ต้องตามหาน้องรหัสน้องรหัสของผมเป็นผู้หญิง ส่วนน้องรหัสของอุ๋ยเป็นผู้ชาย
เริ่มเรียนไปไม่นาน เราสองคนมีเวลาให้กันน้อยลง เราเริ่มมีปากเสียงกันบ้าง คงเพราะผมเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้หึง และกลัวว่าอุ๋ยจะมีใครคนอื่น
“ไอ้เต้! กูได้ยินข่าวว่าแฟนเก่าอุ๋ยเข้ามาเรียนใหม่ที่คณะเราว่ะ”
มันเป็นข่าวที่เลวร้ายมากสำหรับผม อย่างไรก็ตามผมยังเชื่อมั่นในความรักของผมที่มีให้กับอุ๋ย เธอคงไม่ทิ้งผมไป แต่ผมยังกังวลอยู่ลึกๆ ภายในจิตใจ เพราะคำบอกเล่ามันมาจากปากของเพื่อนที่ผมไว้วางใจ มันทำให้ความรักของเราเริ่มมีรอยร้าว และยาที่จะสมานรอยร้าวนั้นได้ก็คือ ความจริงจากปากของอุ๋ย
ผมรีบบึ่งมอเตอร์ไซด์ออกมาจากตึกเรียนอย่างรวดเร็ว
พอถึงหน้ามหาวิทยาลัย มีผู้หญิงคนหนึ่งโบกมือเรียกผมให้หยุดรถ
“เต้ ดาววานอะไรหน่อยสิ”
ดาวเพื่อนต่างคณะของผม เธอพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอน
“มีอะไรให้ช่วยล่ะ”
ผมตอบออกไปอย่างห้วนๆ
“แฟนดาวเอาปืนไปยิงเขา แล้วเขาจำหน้าแฟนดาวได้ ดาวฝากปืนไว้กับเต้ได้มั้ย ดาวกลัวตำรวจจะมาจับแฟนดาว”
“ได้สิ”
หลังคำตอบนั้นหลุดออกจากปากผมไป ดาวกระโดดสวมกอดผมเหมือนเด็กดีใจที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่จากพ่อ แม่
“เฮ้ย!!!”
ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับแกะมือของดาวออกจากตัวผม
“แล้วอยู่ไหนล่ะ”
“อยู่ห้องดาว เดี๋ยวดาวจะพาไป”
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดเย็นยะเยือก แต่จิตใจของผมกลับทำให้ผมรู้สึกว่า ในขณะนี้ผมกำลังขับรถผ่านทะเลทรายอันร้อนระอุ
หลังจากที่แฟนของดาว ฝากปืนไว้กับผมแล้วก็บอก
ขอบคุณผมเป็นเวลานานมาก จนกระทั่งฝนเริ่มโปรยปราย
การขับรถผ่านสายฝนครั้งนี้กลับทำให้ใจผมผ่อนคลายลง อาจเป็นเพราะผมได้ช่วยเหลือเพื่อนที่กำลังลำบากอยู่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ผมยังมีความหวังว่า รอยร้าวในใจผมคงจะได้ยาขนานดีสมานแผลให้หายขาด
แต่รอยร้าวนั่นกลับร้าวเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยเท่า ภาพที่ผมเห็น อุ๋ยเดินขึ้นรถไปกับผู้ชาย นี่หรือคือคำตอบที่ผมได้รับจากอุ๋ย
‘ไอ้เต้! กูได้ยินข่าวว่าแฟนเก่าอุ๋ยเข้ามาเรียนใหม่ที่คณะเราว่ะ’
คำพูดที่เพื่อนผมได้บอกไว้ มันดังกึกก้องเหมือนมีคนนับพันตะโกนขึ้นพร้อมกันในใจของผม สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ผมจอดรถท่ามกลางสายฝน เงยหน้าขึ้นมองฟ้า เผื่อสายฝนที่โปรยปรายลงมาจะล้างภาพติดตาที่ผมเห็นนั้นออกไปให้หมด
นานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่ผมยืนตากน้ำตาจากท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น และในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ ผมรักอุ๋ย ถ้าผมเชื่อในความรัก ผมต้องมั่นใจในความซื่อสัตย์ของอุ๋ย
ถึงหอแล้ว ผมเริ่มมีความกลัวที่จะเดินไปที่ห้อง ทุกย่าง
ก้าวเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ เมื่อถึงหน้าห้องสิ่งที่วางอยู่หน้า
ประตูห้อง มันทำให้รอยร้าวในใจของผมแตกละเอียดในทันที ผมค่อยๆ ไขกุญแจห้องเข้าไปภายในห้อง ภาพที่ผมเห็นคือ ด้านหลังร่างกายอันเปล่าเปลือยของเจ้าหญิงอันเป็นรัก เสื้อผ้าทุกชิ้นของเธอกองอยู่ข้างเตียง ที่นอนยับยุ่ย รอยร้าวในใจที่แตกละเอียดนั้นกลับกลายเป็นฝุ่นผงและลอยไปตามลม ตัวของผมสั่นอย่างบ้าคลั่ง นัยย์ตาทั้งสองข้างร้อนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามบ่ายในทะเลทราย
มือขวาของผมล้วงเข้าไปในกระเป๋า คว้านหาของบางอย่าง
นี่หรือความดีที่ผมได้รับมาจากการช่วยเหลือเพื่อน แต่ผลลัพธ์กลับเป็นกล่องเสื้อกันฝนของผู้ชาย ทิ้งไว้ที่หน้าห้อง
“หนาวๆ อย่างนี้ ดื่มกาแฟสิ จะได้หายหนาว”
อุ๋ยยื่นถ้วยกาแฟให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มเสแสร้งของเจ้าหญิง ที่บัดนี้ได้กลายเป็นโสเภณีข้างถนน
มือซ้ายของผมรับกาแฟถ้วยนั้น ผมจิบกาแฟพร้อมกับมือขวาคว้าเอาสิ่งที่จะทำให้อุ๋ยกลับมาเป็นเจ้าหญิงที่ผมรักคนเดิม

ปัง!!!

“...ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน...”

ผมไม่ได้ร้องเพลงนี้ให้อุ๋ยฟังและอุ๋ยไม่ได้นั่งตรงที่เดิมอีกแล้ว ถึงอุ๋ยจะนอนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำสีแดง แต่อุ๋ยจะเป็นเจ้าหญิงของผมตลอดไป ตราบที่ผมยังอยู่ในห้องนี้...

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2550

เรื่องสั้น - เมื่อรักของเรา ไม่เข้า(ใจ)กัน (บทที่หนึ่ง)

เมื่อความเงียบเหงาได้คืบคลานเข้ามาในจิตใจ ตอนนี้สิ่งที่ฉันทำได้ก็คือ ใช้พลังใจที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดบังคับให้ปลายนิ้วที่ไม่เหลือแม้กำลัง กดปุ่มรีโมทให้เครื่องเล่นเทปทำงาน ไม่กี่อึดใจเพลงที่ฉันและเขาเคยนั่งฟังด้วยกันก็บรรเลงขึ้น
“...ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน...”
ทุกครั้งที่เพลงนี้ดังขึ้น ถ้าเขาอยู่ในห้องกับฉัน เขาคงร้องคลอไปกับเพลงและนั่งลงข้างฉัน หอมแก้มฉัน และกระซิบที่ข้างหูฉันว่า
“เต้รักอุ๋ยมากนะ”
แต่ในตอนนี้เมื่อฉันมองตรงที่เต้เคยนั่งอยู่ ไม่มีเต้อีกแล้ว ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับฉันได้
ฉันและเต้รู้จักกันครั้งแรก ในวันรับน้องใหม่ของ
มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด ตัวฉันเองเป็นเด็กนักเรียนจากเมืองหลวง เมื่อมาอยู่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดและห่างไกลแบบนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ต้องเหงา และคิดถึงบ้าน
“น้องใหม่ฟังเรียกแถว แถวตอนเรียงสิบ ทั้งหมดจัดแถว!!”
เสียงตะโกนของรุ่นพี่ที่ใส่ชุดดำดังขึ้น ทำลายภวังค์ของฉันจนหมด เพียงสิ้นสุดเสียงตะโกนเท่านั้น ผู้คนรอบๆ ตัวฉันก็พากันลุกฮือขึ้นวิ่งไปยังต้นเสียง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ก็ได้แต่วิ่งตามไป
“หนึ่ง สอง สาม ... สิบ”
ผู้ชายที่วิ่งมาก่อนทั้งสิบคนนับ พร้อมกับอีกหลายๆ คนที่วิ่งตามมายื่นมือแตะไหล่คนข้างหน้า เป็นการจัดแถว ฉันที่ไม่รู้อะไรก็ได้แค่ทำตาม
รุ่นพี่ที่ใส่ชุดดำหลายคน มองมาที่ฉัน แล้วหันซ้ายที หันขวาที มองหน้ากันแปลกๆ
“นี่เธอ เมื่อวานไม่ได้เข้าเหรอ”
เสียงพูดเบาๆ จากผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านขวามือของฉัน
ฉันมองเขาแล้วพยักหน้า และเขาก็พูดต่อว่า
“ตรงนี้รุ่นพี่ ให้เข้าแถวเฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้ - ”
“ ใครบอกให้พูดในแถว!!”
เสียงตะโกนขัดจังหวะการพูด จากรุ่นพี่ชุดดำคนหนึ่ง
“น้องใหม่ทั้งหมด วิดพื้นท่าเตรียม ปฏิบัติ!!! ”
พอสิ้นเสียงรุ่นพี่ ทุกคนที่อยู่รอบตัวฉันก็ทำตามคำสั่ง ส่วนฉันกำลังจะทำตาม รุ่นพี่คนที่ออกคำสั่งไป ก็หันมาพูดกับฉันด้วยเสียงธรรมดา
“น้องผู้หญิง ไม่ต้องทำ ออกมานี่”
ฉันลุกขึ้นแล้วมองไปหาผู้ชายที่เคยยืนอยู่ด้านขวามือของฉัน ตอนนี้เขาอยู่ในท่าวิดพื้นท่าเตรียม ฉันพูดบอกเขาเบาๆ ว่า
“ขอโทษนะที่ทำให้ลำบาก”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง”
พร้อมกับยิ้มมาที่ฉัน นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้จักกับเต้
พวกเราอยู่ใน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งในปีหนึ่ง มีนักศึกษาทั้งหมด 97 คน มีผู้หญิงเพียง 7 คนเท่านั้น พวกเราที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด ได้รับสมญานามจากรุ่นพี่ว่า ‘สมบัติคณะ’ ไม่ว่าสมบัติคณะจะไปที่ไหน เพื่อนๆ ผู้ชายก็จะคอยดูแลเป็นพิเศษ เวลาไปเรียน เพื่อนผู้ชายที่มีรถก็จะรอรับไปส่งที่ตึกเรียน เวลาไปทานข้าวที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ก็จะมีเพื่อนผู้ชายไปซื้อมาให้ เวลาเข้ารับน้องใหม่ เมื่อทำผิดกฎ เพื่อนผู้ชายก็จะยอมถูกลงโทษแทน ฉันได้รับการดูแลแบบนี้จากเพื่อน มันช่วยทำให้คลายเหงาจากอาการคิดถึงบ้าน
หลังจากการรับน้องใหม่เสร็จสิ้น ‘สมบัติคณะ’ ก็ถูกเมิน เพราะในช่วงรับน้อง รุ่นพี่ได้สั่งให้เพื่อนผู้ชายดูแลสมบัติคณะ ด้วยความกลัวว่ารุ่นพี่จะลงโทษจึงต้องทำตามคำสั่ง มีเพียงเต้คนเดียวเท่านั้นที่ยังคอยดูแลฉันเหมือนสมบัติคณะเช่นเคย
ฉันมีเพื่อนน้อย และเป็นคนขี้เหงา เมื่อมาอยู่คนเดียวในจังหวัดที่ห่างไกลบ้านอย่างนี้ เกือบทุกคืนฉันมักจะนั่งร้องให้คิดถึงบ้าน เต้เป็นเหมือนคนที่มาเติมเต็มความรู้สึกในส่วนที่ฉันขาดไป คอยดูแลเอาใจใส่ ความสัมพันธ์ของเรา จึงคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากคนรู้จักมาเป็นเพื่อน จากเพื่อนมาเป็นเพื่อนสนิท จากเพื่อนสนิทมาเป็นแฟน
หลังจากที่ฉันรู้จักกับเต้ไม่กี่เดือน ฉันก็ยินยอมพร้อมใจพลีกายให้เขา ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความรู้สึกที่เรียกว่ารักหรือเปล่า แต่ฉันขาดเขาไม่ได้ ไม่อยากให้เขาหนีห่างจากฉันไป ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อรั้งเต้ไว้กับฉัน
หลังจากสงครามแห่งความรักที่เร่าร้อนดุจไฟเผาผลาญร่าง
กายให้หลอมละลาย ได้จบลงเราสองคนนอนมองหน้าซึ่งกันและกันด้วยความเหน็ดเหนื่อย ถึงว่าฉันจะมองหน้าของเต้ แต่ตัวฉันกลับอยู่ในห้วงความคิด เฝ้านึกถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากผ่าน
พ้นค่ำคืนนี้ไป แต่แล้วภวังค์ของฉันก็สะบั้นลงด้วยเสียงของเต้
“อุ๋ย เต้รักอุ๋ยนะ”
ถึงจะเป็นเสียงพูดที่แผ่วเบา แต่มันมีความหมายมากมายสำหรับฉัน
หลังจากนั้นไม่นาน เราสองคนก็ย้ายออกไปอยู่ด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขมากที่สุด ตั้งแต่ออกจากบ้านมาใช้ชีวิตที่อิสระ ไม่ต้องทนเหงา และร้องไห้ในยามคิดถึงบ้าน เพราะในตอนนี้ ฉันมีคนอันเป็นที่รักอยู่เคียงข้างตลอด ไม่ว่าตอนเรียน ทานข้าว แม้แต่เวลานอน เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
เต้ได้สัญญากับฉัน หลังจากที่เรียนจบ เราจะแต่งงานกัน ฉันดีใจมากในใจของฉันตอนนั้นได้บอกความรู้สึกกับตัวของฉัน
เองว่า
‘ฉันรักเต้มากที่สุด’
หนึ่งปีผ่านไป ถึงเวลาที่เราสองคนจะต้องเลือกสาขาวิชาของวิศวกร ฉันเลือกสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ส่วนเต้เลือกสาขา
วิศวกรรมโยธา ฉันนึกเข้าข้างตัวเองว่า
‘แม้เราจะไม่ได้เรียนด้วยกัน แต่เราก็ยังอยู่ด้วยกันและรักกันเหมือนเดิม’
หลังจากการรับน้องใหม่ผ่านไป ถึงเวลาที่พวกรุ่นพี่อย่างฉันและเต้ ต้องตามหาน้องรหัสน้องรหัสของฉันเป็นผู้ชาย ส่วนน้องรหัสของเต้เป็นผู้หญิง
เริ่มเรียนไปไม่นาน เราสองคนมีเวลาให้กันน้อยลง เราเริ่มมีปากเสียงกันบ้าง แต่ไม่รุนแรงมาก คงเป็นเพราะเต้อยู่ห่างฉัน ความเหงา ความว้าเหว่ เคว้งคว้าง เข้ามาเกาะกุมหัวใจฉันอีกครั้งหนึ่งและได้หล่อหลอมเกิดเป็นความเครียด
“เต้ไปกับผู้หญิงคนอื่น”
คำพูดจากเพื่อนฉัน มันทำให้จิตใจของฉันหดหู่ขึ้นมาในทันทีทันใด ฉันพยายามทำสติให้มั่นคงและยังเชื่อในความรักของเรา ส่วนจิตใต้สำนึกกลับสั่งให้ฉันเชื่อในคำพูดของเพื่อน และฉันก็กลับมาที่ห้องด้วยสมองที่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งความคิดใดๆ
เมื่อฉันมาถึงห้อง ฉันเห็นโทรเลขฉบับหนึ่งวางอยู่ที่หน้าประตู เป็นโทรเลขที่ส่งมาจากคุณน้าของฉัน สมองที่ว่างเปล่าเมื่อครู่นี้
กำลังพยายามทำงาน และคำพูดที่กลั่นกรองออกมาจากสมองบอกกับตัวฉันว่า
‘ทำไม? ญาติของฉันต้องส่งโทรเลขมาหาฉันด้วย’
ข้อความในโทรเลขที่สั้นได้ใจความ ผ่านสายตาของฉันไป เข้าสู่สมองแล้วประมวลผลออกมา เป็นหยดน้ำเล็กๆ ไหลผ่านแก้มของฉัน
‘ไม่จริง เป็นไปไม่ได้’
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวฉันมันหมุนเคว้งคว้างไปหมด แผ่นกระดาษโทรเลขในมือฉันมันช่างหนักเหลือกำลังที่มือทั้งสองข้างของฉันจะแบกรับไว้ได้
ตอนนี้ เป็นเวลาฉันต้องการเต้มากที่สุด
‘เต้อยู่ไหน ฉันต้องไปหาเขา’
ห้วงลึกภายในความคิดของฉัน สั่งให้ฉันวิ่งไปอย่างบ้าคลั่งและสุดแรง เพื่อให้ฉันตามหา คนที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต ฉันเจอเขาแล้วเขาอยู่นั่น เต้อยู่ตรงนั้น ฉันต้องการเขา แต่
‘เต้อยู่กับใคร? ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน? เต้เป็นอะไรกับเขา? แล้วฉันล่ะ? เต้ไม่รักฉันแล้วหรือ?’
คำถามต่างๆนานา เข้ามาวิ่งวนเวียนในความคิด ในห้วง
ความรู้สึกของฉัน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่างเปล่า เหมือนตัวของฉันหลุดลอยเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง
สายฝนเริ่มโปรยปราย น้ำตาของฉันไหลผ่านใบหน้าโดย
ไม่อายใคร เหมือนฟ้าเป็นใจให้ฉัน โศกเศร้ากับฉัน
เท้าทั้งสองข้างของฉัน ได้นำพาร่างกายที่เปียกโชกด้วยน้ำฝน และจิตใจแหลกสลายที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตา เข้าไปที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่ง
“พี่ เอายาเบื่อหนูถุงหนึ่ง”
ฉันหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง คนที่ฉันรัก คนที่รักฉัน ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว
ฉันได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เสียงจากด้านหลังของฉันได้ดังขึ้น
“อ้าว พี่อุ๋ยมาซื้อของหรือพี่”
เป็นเสียงจากน้องรหัสของฉันเอง
“มาคนเดียวหรือพี่ แล้วพี่เต้ล่ะ”
ฉันไม่ตอบ
“เอางี้แล้วกันพี่ เดี๋ยวผมไปส่ง เดินตากฝนเดี๋ยวไม่สบาย”
ฉันพยักหน้าตอบอย่างช้าๆ
‘ฉันมาถึงหอแล้วแต่เต้ยังไม่กลับมา เต้ไปกับผู้หญิงคนนั้น’
ความรู้สึกนึกคิดของฉันยังคงวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ที่ฉันได้พบเจอมา
“พี่อุ๋ย ถึงหอแล้วพี่ ท่าทางจะไม่สบายแฮะ เดี๋ยวผมเดินไป
ส่งที่ห้องแล้วกัน”
หลังจากที่ฉันเดินเข้าห้องไป น้องรหัสของฉันก็ขอตัวกลับ
ความเหน็บหนาวจากน้ำฝน ความปวดร้าวจากคนที่ฉันรักไปกับผู้หญิงคนอื่น ทำให้ร่างกายของฉันสั่น ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
ฉันถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นในร่างกาย กองมันไว้ที่ข้างเตียง แล้วนำพาร่างกายที่เปลือยเปล่า ซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม
มัจจุราชได้พรากชีวิตพ่อและแม่ของฉันไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นยังจะพรากเต้ไปจากฉันอีก แล้วฉันจะเหลือใคร ชีวิตฉันยังจะเหลืออะไรอีก
ฉันลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบถุงพลาสติกซึ่งบรรจุสิ่งของที่จะใช้เรียกมัจจุราช ฉันเสียบปลั๊กไฟให้กระติกน้ำร้อนทำงาน ใช้ช้อนตักใบเบิกทางสู่ความตายลงถ้วยกาแฟ กดน้ำร้อน คนให้ละลายเข้ากัน ฉันยกมันขึ้นแตะริมฝีปาก แต่แล้วเสียงปีศาจในตัวฉันก็ส่งเสียงขึ้น
‘ทำไมต้องปล่อยให้เต้ไปกับผู้หญิงคนอื่น เต้ต้องอยู่กับฉัน ตราบที่ฉันยังหายใจอยู่’
เสียงประตูห้องเปิดขึ้น ฉันรู้ว่าต้องเป็นเต้แน่ ฉันเปิดฝากระปุกกาแฟ ตักกาแฟใส่ถ้วยเดิม แล้วหันหลังกลับ ยื่นถ้วยกาแฟ
ให้เต้ พร้อมกับยิ้มให้สวยที่สุด เท่าที่ฉันจะทำได้ในตอนนี้
คนรักของฉัน คนที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ในชุดที่เปียกโชก ตัวสั่นเทิ้ม
“หนาวๆ อย่างนี้ ดื่มกาแฟสิ จะได้หายหนาว”
แล้วเต้ก็ดื่มกาแฟถ้วยนั้นแต่โดยดี

“...ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน...”

เต้ไม่ได้นั่งตรงที่เดิม ไม่มีเสียงของเต้ร้องคลอเพลงนี้อีกแล้ว ตอนนี้เขานอนนิ่งที่ตรงประตู ไม่มีลมหายใจ ไม่มีแม้ชีวิต เราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เต้จะเป็นของฉันตลอดไป ตราบที่ฉันยังอยู่ในห้องนี้.....

เรื่องสั้น - คนใต้แสงดาว

ค่ำคืนนี้ ช่างยาวนานเหลือเกิน....
หากใครไม่เคยรู้สึก ว่ายามค่ำคืนนั้น มันช่างยาวนาน... ผมจะเล่าให้ฟัง
นานแล้ว ที่ผมและเธอได้จากกัน ด้วยความรักที่เรามีนั้น เข้ากันไม่ได้ ในทุกค่ำคืนที่ผ่านไป มันช่างแสนทรมานเหลือเกิน
และนี่ก็เป็นอีกคืน ที่ผมต้องเฝ้าทนทุกข์ทรมาน หลังจากดวงตะวันลอยลับขอบฟ้าไป ความมืดเข้าคืบคลานเข้ามา พร้อมกับกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่รายล้อมรอบๆ ตัวผมให้หายไป เหมือนกับหัวใจดวงนี้ ที่ถูกความรักของเธอบดบังให้มืดมิด ไม่เหลือแม้แต่แสงสว่างของความหวัง ทั้งๆ ที่ยามค่ำคืนยังมีแสงสว่างของดวงดาว ให้เห็นความงามในยามค่ำคืน
ภายในห้องนี้ มีความทรงจำที่ดี ระหว่างผมและเธอ เมื่อครั้งที่เราสองยังอยู่ด้วยกัน ก่อนที่เธอต้องจากผมไป
คืนนี้มันไม่ยอมผ่านไป มันช่างยาวนานและแสนโหดร้าย
ผมได้แต่เฝ้ารอคอยของแสงตะวันยามเช้าที่แสนสดใส
ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเธอ ก็มีแต่เรื่องราวซ้ำๆ เหตุการณ์ซ้ำๆ ภาพในวันดีๆ ไม่เคยลบเลือนหายไปจากใจ มันเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้น
ยังจำวันเวลาของผมและเธอ ที่เราต่างมีเพียงกันและกัน ความสุขนั้นช่างมากล้น เหลือเกิน
ผมพยายามทำใจไม่ให้คิดถึงเธอ ยิ่งทำเท่าไร ยิ่งปวดร้าว ยิ่งเจ็บช้ำ พยายามเริ่มต้นกับใครเพื่อให้ลืมเธอ แต่มันทำให้ผมยิ่งจมอยู่กับสิ่งที่ดี ที่เธอทำให้ผมในวันนั้น ความรู้สึกดีๆ จากคนรัก และเชื่อถือตลอดมา
ภาพความทรงจำเก่าๆ ยังติดอยู่ในใจของผม ให้รู้สึกถึงวันเวลาที่สดใส และก็เป็นภาพความทรงจำเก่าๆ นั่นเอง ที่เข้ามาทำร้ายจิตใจ ทำให้ผมลบเลือนเธอไปไม่ได้สักที

...ยิ่งข่มใจให้ลืมมัน ก็ไม่มีวันที่จะห้ามใจ...

จะทำยังไงกับคนที่รักกัน มีแต่คืนวันที่เปี่ยมด้วนความหมาย แล้วเธอก็จากไป ทิ้งไว้แค่เพียง
ภาพความทรงจำเก่าๆ ให้ฝังลึกลงไปในหัวใจ
และเธอก็เดินเข้ามาในห้อง พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ เธอเดินผ่านผมไป อย่างไม่สนใจใยดี ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของผมเธอเปิดตู้เสื้อผ้า เก็บข้าวของของเธอลงกระเป๋า
...ตู้ใบนั้น ตู้ที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ดี เมื่อตอนที่เราเคยอยู่ด้วยกัน...
จบลงแล้ว ความรัก ความทรงจำที่ดี เธอกำลังจากผมไป อย่างไม่มีวันย้อนกลับมา ผมไม่อยากเห็นภาพนั้น มันช่างทำร้าย
จิตใจผมเหลือเกิน ผมทำใจให้ยอมรับไม่ได้ ที่จะเห็นภาพเธอจากไป ผมยืนขึ้น พร้อมกันนั้นเธอหยุดเก็บข้าวของ ชำเลืองมอง ผมอยากเข้าไปกอดเธอเหลือเกิน ....

‘รักเธอมาก รักเธอเหลือเกิน ฉันไม่อยากให้เธอจากฉันไป’

คำพูดภายในใจ ผมอยากให้เธอได้ยิน แต่เธอคงจะไม่รับฟัง
ค่ำคืนที่แสนโหดร้าย เมื่อใดหนอ มันจะผ่านพ้นไป
ผมอยากให้เธออยู่เพียงลำพัง เผื่อเธอจะสัมผัสถึงความทรงจำดีๆ ในห้องๆ นี้ ที่ๆเราเคยมีแค่กันและกัน
เธอเก็บของอย่างช้าๆ ภาพนี้มันช่างทรมานผมมากเหลือเกิน ใจหนึ่งอยากให้เธอรีบเก็บแล้วรีบจากผมไปเหลือเกิน
แต่อีกใจไม่อยากให้เธอจากไป อยากให้ข้าวของมีมากกว่านี้ ไม่ก็ให้เธอหยุด แล้วเปลี่ยนใจกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง...

‘กลับมาเถิดคนดี มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง’

เมื่อครั้งแรกที่เราพบกัน เธอจะจำได้หรือเปล่า ดวงตะวันทอแสงสีทองผ่านหมู่เมฆ เธอช่างดูสวยสดใสใต้ร่มเงาของหมู่แมกไม้ ผมเธอปลิวสยาย ใบหน้าเธองดงามน่าทะนุถนอม รูปร่างอันบอบบางชวนให้หลงใหล เสน่ห์เธอเย้ายานใจเป็นอันมาก
แต่ยามเธอจากผมไป กลับเป็นค่ำคืนที่มืดมน ไร้ซึ่งแสงดาว และมันเป็นค่ำคืนที่แสนเจ็บปวด และยาวนาน จนบัดนั้น ในทุกค่ำคืน ผมมักนึกถึงค่ำคืนที่เธอจากผมไป ทุกค่ำคืนช่างทรมาน เจ็บปวดรวดร้าว
เธอเก็บของเสร็จแล้ว เธอกำลังจะไปแล้ว จากไปตลอดกาล
ผมยืนขวางประตู ด้วยดวงตาที่เศร้า น้ำตาของผมพร้อมที่จะไหลได้ทุกเมื่อ
‘หมื่นแสนคำ ที่เธออยากพูดร่ำลาฉัน พูดมันออกไปเถอะ ฉันจะทนฟัง ถึงมันเจ็บปวดรวดร้าว ฉันก็จะฟัง ขอเพียงเธออยู่ตรง
นี้ สักเพียงนาที อยู่ให้ฉันคนนี้ได้จดจำภาพของเธอไว้’
เธอหันหน้าหลบสายตาผมไป พร้อมน้ำตารินไหลอาบแก้มที่แสนบอบบาง ร่างกายเธอสั่น ...

‘...รู้สึกยังไงก็บอกฉันมาเถิดคนดี คนคนนี้อย่างแบ่งเบาความเจ็บปวดของเธอ เอาความเจ็บปวดของเธอมาไว้ที่ฉันเถิด อย่าได้โศกเศร้าปานนี้เลย ขอให้ฉันเจ็บปวด เศร้าระทมทุกข์เพียงคนเดียวเถอะ หากเธออยากไปจากฉัน ก็ขอให้เธอไปด้วยความรู้สึกดีดี อย่าไปด้วยความเศร้าเสียใจ เพราะฉันจะรู้สึกว่าตัวเองเลว ที่ทำให้คนรักเสียน้ำตา...’

เธอวางกระเป๋า พร้อมทรุดกายนั่งลง เสียงร้องไห้ของเธอ ดังไปทั่วห้อง น้ำตาผมไหลอาบแก้ม ผมเสียใจ เศร้าใจ เจ็บปวดมากเหลือเกิน ที่ทำคนที่รักเสียใจมากมายขนาดนี้

‘ไปเถอะคนดี ถ้าเธออยู่นี่เธอคงเจ็บปวดหากเธอไปแล้วเธอรู้สึกดี ก็ไปเถิด ปล่อยให้ฉันเสียใจอยู่ตรงนี้อยู่ที่นี่กับความหลังอันแสนหวาน แม้ว่ามันจะทำให้ฉันเจ็บปวดสักเท่าไรก็ตาม ถ้าเธอมีความสุขในทางข้างหน้า ฉันก็ดีใจด้วย’

เธอไม่มองผมเลยแม้ว่าผมจะพูดพร่ำพรรณามากมาย หลายสิ่งหลายอย่าง ให้เธอฟัง เธอคงไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เธอไม่เคยรับรู้ถึงการมีตัวตนของผมเลยด้วยซ้ำ

‘ทำไมเธอถึงทำร้ายฉันได้ขนาดนี้ ทั้งที่ฉันรักเธอมากมายเหลือเกิน’

เธอหยิบกรอบรูปที่มีรูปของเราของเราขึ้น เธอมองมันด้วยความอาลัยอาวรณ์ เธอจ้องที่รูปผม เธอลุกขึ้นยืน เธอปาดน้ำตาที่มันไหลอาบแก้มของเธอ แล้วมองไปรอบๆ ห้องอย่างช้าๆ เหมือนเธอกำลังมองหาอะไรสักอย่าง
เธอหยุด แล้วเปิดกระเป๋าของเธอ เธอนำกรอบรูปในมือเก็บเข้ากระเป๋า พร้อมเอ๋ยคำที่ผมปรารถนามาตลอด ความในใจที่เธอมีต่อผม ความรู้สึกที่เธอมีต่อผม เธอพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มเธอ อีกครั้ง
“เอ็ม...กอล์ฟรักเอ็มนะ”
เธอสะอื้นร่ำไห้
“เอ็มอยู่ไหน เอ็มออกมาหากอล์ฟได้มั้ย”
เธอพูดเหมือนว่า ผมไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้ ข้างกายเธอ
‘ฉันอยู่นี่ที่รัก ฉันอยู่ข้างๆเธอตลอดเวลา…’

“ถึงเอ็มจะจากไปกอล์ฟแต่เอ็มจะอยู่ในใจกอล์ฟเสมอ กอล์ฟรักเอ็มนะ”
‘ฉันไม่ได้ไปไหนฉันอยู่นี่ อยู่ข้างๆ เธอ…’

“จะไม่มีใครมาแทนที่เอ็ม เอ็มอย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่ข้างกอล์ฟ”
‘กอล์ฟ เอ็มอยู่นี่ อยู่ตรงนี้…’

“เอ็มรอกอล์ฟด้วย สักวัน กอล์ฟจะไปหาเอ็ม”
‘กอล์ฟ...’

ผมเพิ่งเข้าใจตอนนี้เอง ว่าทำไมยามค่ำคืนช่างแสนเศร้า และยาวนานเช่นนี้ และทำไมผมถึงเฝ้าโหยหาดวงตะวัน และเธอ
เพราะผมไม่อาจสัมผัสความอบอุ่นของแสงตะวัน และร่างกายคนที่ผมรัก ผมได้จากพวกเขาไปแล้ว อย่างไม่มีวันย้อนกลับไป ตลอดกาล...